สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ ระบุว่า เงินเฟ้อของอังกฤษในเดือนกรกฎาคมพุ่งขึ้นมาที่ร้อยละ 10.1 จากร้อยละ 9.4 เดือนมิถุนายนนับเป็นการเพิ่มสูงสุดในรอบ 40 ปี และเป็นครั้งแรกที่เงินเฟ้อสูงกว่าร้อยละ 10 นับตั้งแต่ปี 2525 กระทบต่อการเงินของครัวเรือนส่วนใหญ่ในอังกฤษเนื่องจากค่าครองชีพ และค่าใช้จ่ายต่างๆสูงขึ้นอยู่ก่อนแล้ว อีกทั้งยังไม่มีการปรับขึ้นค่าแรงสำหรับแรงงานให้สอดคล้องกับเงินเฟ้อในปัจจุบัน
โดยเฉพาะราคาอาหาร เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.7 นับแต่เดือนกรกฎาคม 2564 เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เงินเฟ้อของอังกฤษพุ่งขึ้นในเดือนที่แล้ว และเพิ่มสูงสุดในรอบ 14 ปี โดยผู้ประกอบการได้ปรับขึ้นราคาสินค้าหลาย เช่น ขนมปัง ซีเรียลหรือธัญพืชแปรรูป นม เนยแข็ง ไข่ไก่ เนยเชดดาชีส (Cheddar Cheese)หรือ เนยแข็งทำจากนมวัวและโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยว
เมื่อเทียบตัวเลขรายเดือน ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ในเดือนกรกฎาคม ราคาน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซลแพงขึ้น เช่นเดียวกับตั๋วเครื่องบิน มีการปรับราคาสูงขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ที่ผ่านมา ค่าไฟฟ้าในรอบ 12 เดือนจนถึงเดือนกรกฎาคมปีนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 54 ขณะที่ค่าแก๊สเพิ่มขึ้นร้อยละ 95.7 เนื่องจากราคาสินค้าที่สูงขึ้น นับตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ รวมทั้งนายคัลลัม พิกเกอริง นักเศรษฐศาสตร์ระดับสูงจากธนาคารเบเรนเบิร์ก เยอรมนี คาดว่าเรื่องนี้จะส่งผลให้ธนาคารกลางแห่งอังกฤษ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้าในวันที่ 15 กันยายนนี้ หลังปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.50 มาอยู่ที่ร้อยละ 1.75 ในการประชุมเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม นับเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่สูงเป็นครั้งแรกในรอบ 27 ปี เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
#อังกฤษ
#เงินเฟ้อ