หลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบ ร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังค้ำประกันการชำระหนี้ของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. …. และการกู้ยืมเงินของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ซึ่งมีวงเงินกู้ยืมของกองทุนน้ำมัน 1.5 แสนล้านบาท นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่เราจะต้องรีบดำเนินการ อีกทั้งในต่างประเทศกำลังจะเข้าฤดูหนาวจึงยังไม่ทราบว่าสถานการณ์ในต่างประเทศนั้นอาจจะมีผลต่อราคาพลังงานขึ้นมาอีก ดังนั้นเพื่อให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดำเนินการไปตามบทบาทหน้าที่ของตัวเองที่จะสามารถช่วยประชาชนได้ต่อไป จึงจะต้องเร่งดำเนินการเรื่องนี้โดยเร็วเพราะล่าช้ามาพอสมควรแล้ว เราก็ได้หาทุกวิถีทางที่จะสร้างสภาพคล่อง สร้างความน่าเชื่อถือให้กับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ส่วนจะกู้เต็มเพดาน 1.5 แสนล้านบาทหรือไม่นั้น นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ยังตอบอะไรไม่ได้มาก แต่ไม่ใช่เป็นการกู้แบบคราวเดียวเพราะต้องทยอยตามความจำเป็น โดยต้องดูวินัยการเงินการคลังด้วยเพื่อไม่ให้เกินกรอบ ตัวเลข 1.5 แสนล้านบาทนั้น มาจากการคำนวณของกระทรวงการคลังซึ่งเป็นตัวเลขที่เหมาะสมและยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง ส่วนจะสามารถเริ่มกู้ได้ในสัปดาห์หน้าหรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการกฤษฎีกาที่จะนำข้อเสนอแนะต่างๆ พิจารณาทางเลือกต่างๆ ถึงความเหมาะสม
ด้านประเด็นค่าการกลั่น นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ในวันนี้ค่าการกลั่นอยู่ที่กว่า 2 บาทแล้ว ถึงคุยกับเขา เขาคงไม่คุยกับเรา แต่ต้องไม่ประมาทเพราะสถานการณ์เมื่อเข้าฤดูหนาวอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้เพราะความต้องการสูงมากขึ้น รวมถึงภาวะสงคราม ที่เห็นเปลี่ยนแปลงทุกวันและยังมีเรื่องของการซ้อมรบของจีนด้วย และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์
ดังนั้นประเทศไทยจึงต้องมีความยืดหยุ่น และเตรียมความพร้อมในทุกๆเรื่อง ที่จะดูแลประชาชนรักษาเสถียรภาพ ในเรื่องที่สำคัญสำคัญนี้ให้ได้ ก็ต้องพยายามให้ดีที่สุดแต่ยังยืนยันว่าอยู่ในกรอบของวินัยการเงินการคลัง
“สิ่งที่สำคัญในยามวิกฤตินี้เราต้องประคับประคองให้ผ่านพ้นไปให้ได้โดยรักษาวินัยทางการเงินการคลังให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อที่จะเจริญเติบโตต่อไปได้”
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลพยายามทำดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ แต่ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ ยอมรับว่า ความไม่แน่นอน คือความเสี่ยง และประเมินความเสี่ยงไม่ได้ ความไม่แน่นอนคืออะไรก็ได้จะเป็นศูนย์ หรือจะเป็น 100 ก็ได้แต่ความเสี่ยงเรายังประเมินได้ว่ามีลักษณะอย่างไรและอาจจะเกิดขึ้น 30 -50% เราก็ต้องเตรียมการทุกด้าน
ส่วนการขึ้นค่าเอฟที แล้วรัฐบาลต้องรับมืออย่างไร นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ก็ต้องดูแลกลุ่มคนเปราะบางตอนนี้ให้ กกพ. ไปคิดต่อว่าเมื่อขึ้นไปอย่างนี้ กลุ่มคนเปราะบาง คนที่เคยดูแลอยู่ ที่ใช้ไฟไม่เกิน 300 หน่วย ถ้าจะต้องดูแลต่อจะต้องใช้เงินอย่างไร มากกว่า 300-500 หน่วยจะดูแลอย่างไร ซึ่งอีกไม่นานคงทราบ เราจะรีบดำเนินการ เพราะราคาเอฟทีใหม่จะมีผลในเดือนกันยายน ซึ่งของต้องใช้งบกลางในการดูแลกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนให้น้อยที่สุด
#กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง