กรณีอุบัติเหตุรถยนต์เสียหลักพลิกคว่ำ บนถนนมอเตอร์สาย 7 ฝั่งขาเข้าพัทยา ช่วง กม.105+700 เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 65 และได้มีการประสานเก็บกู้ซากรถออกจากบริเวณที่เกิดเหตุ แต่ต่อมาพบร่างผู้เสียชีวิตติดอยู่ในซากรถคันดังกล่าว หลังเวลาผ่านไป 12 ชั่วโมง ในวันนี้(12 สิงหาคม 2565) พล.ต.ต.เอกราช ลิ้มสังกาศ ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง หรือ ผบก.ทล. พ.ต.อ.นพ.ปกรณ์ วะศินรัตน์ ผู้แทนสถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจ พ.ต.อ.วันชนะ ทิพย์อาสน์ ผกก.8 บก.ทล.พ.ต.ท.พงศ์ศรัณย์ วังพลับ หัวหน้าพนักงานสอบสวน พ.ต.ท.รัตพล วรรณะ พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ด.ต.เดชฤทธิ์ น้อยขุ้ย เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ นายภาสกร ศิริภาพ เจ้าหน้าที่กู้ภัย และนายธนศักดิ์ วงศ์ธนากิจเจริญ ผู้แทนกรมทางหลวง ร่วมกันแถลงข่าว
พล.ต.ต.เอกราช กล่าวว่า หลังจากที่ตำรวจและกู้ภัยทั้งหมดเดินทางไปถึงจุดเกิดเหตุ ได้ร่วมกันตรวจสภาพที่เกิดเหตุอย่างละเอียด และยืนยันว่าไม่พบผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ พบเพียงแต่เอกสารใบสั่งยาระบุชื่อนายภัทรชัย อรรถพร สันนิฐานว่าผู้ขับขี่อาจถูกนำส่งโรงพยาบาลแล้ว จึงได้เคลื่อนย้ายรถที่เกิดเหตุไปเก็บไว้ที่หน่วยสอบสวนเขาเขียว จากนั้นพนักงานสอบสวนได้ประสานไปยังศูนย์บริหารจัดการจราจร เพื่อขอภาพตอนขณะเกิดเหตุและได้ติดต่อสอบถามไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ ในพื้นที่เพื่อติดตามหาตัวคนขับแต่ก็ยังไม่พบ จึงได้เข้าไปตรวจสอบที่รถอีกครั้งเมื่อเวลา 18.00 น. จนพบว่ามีผู้เสียชีวิตติดอยู่ที่พื้นรถใต้พวงมาลัยด้านคนขับ โดยมีกองเสื้อผ้าปิดทับอยู่ หลังจากนั้น ได้ส่งศพไปยังสถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจ เพื่อผ่าพิสูจน์หาสาเหตุการเสียชีวิต แพทย์ระบุสาเหตุการตาย เนื่องจากภาวะเลือดคั่งในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ จากขั้วหัวใจฉีกขาด ปริแตกและกระดูกซี่โครงหัก นอกจากนี้ทางกองพิสูจน์หลักฐานไม่พบร่องรอยการเฉี่ยวชนกับรถคันอื่น
ล่าสุด กรมทางหลวงและกองบังคับการตำรวจทางหลวง ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกัน โดยมีรองอธิบดีกรมทางหลวงเป็นประธาน หลังจากนี้จะสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งภาพจากกล้องวงจรปิด พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้ข้อมูลประกอบการพิจารณาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเหตุการณ์ดังกล่าวมาทบทวนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำอีก
ด้านนายภาสกร เจ้าหน้าที่กู้ภัย กล่าวว่า ในวันเกิดเหตุผู้ปฏิบัติงานกู้ภัยพยายามเข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุอย่างดีที่สุดหลังได้รับแจ้งแล้วใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 5 นาที เพื่อไปถึงจุดเกิดเหตุ ซึ่งทันทีที่ไปถึงตนคือคนแรกที่เข้าไปยังตัวรถ จึงไปที่ด้านคนขับก่อน โดยใช้การมองผ่านกระจก แต่ไม่พบผู้ประสบเหตุและไม่พบสัญญาณขอความช่วยเหลือ เห็นเพียงสิ่งของกระจัดกระจายอยู่
เจ้าหน้าที่ทุกคนมองไม่เห็นเช่นเดียวกัน จึงได้เปิดประตูหลังด้านขวาเข้าไปดูภายใน แต่ก็ไม่พบผู้ประสบเหตุ รวมถึงบริเวณพื้นที่โดยรอบทั้งด้านหน้าด้านหลังและด้านซ้ายของตัวรถ ก็ไม่พบผู้ประสบเหตุ จึงแจ้งกลับไปยังสำนักงานว่า ไม่พบผู้ขับขี่
ตามหลักการแล้วหากไม่พบผู้ประสบเหตุเจ้าหน้าที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินในรถ จึงมาอำนวยความสะดวกในเรื่องของการจราจร เนื่องจากช่วงที่เกิดอุบัติเหตุอยู่ใกล้พื้นที่ก่อสร้าง หลังจากเจ้าหน้าที่ชุดที่ 2 มาถึงก็ได้ทำการตรวจอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่พบจึงสันนิษฐานว่ามีผู้หวังดีพานำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว เหมือนกับบางเคสที่ผ่านมา
ด้านพ.ต.ท.รัตพล พนักงานสอบสวนเจ้าของคดียอมรับว่า หลังได้รับแจ้งว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบนทางด่วน รีบเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ แต่ในระหว่างเดินทางมีการประสานขออนุญาตเคลื่อนย้ายรถประสบเหตุออกจากจุดเกิดเหตุ เพื่อเปิดการจราจรอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ถนน โดยเห็นว่ามีหลักฐานและข้อมูลเพียงพอแล้ว จึงอนุญาตให้เคลื่อนย้ายทำให้เดินทางไปไม่ถึงจุดเกิดเหตุ
รวมถึงไม่ได้มีการตรวจสอบกล้องวงจรปิดขณะเกิดเหตุ เนื่องจากได้รับรายงานแล้วว่าจากการตรวจสอบไม่พบผู้ขับขี่หรือผู้ประสบเหตุ จึงใช้ดุลพินิจและคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่ผู้ประสบเหตุจะยังสามารถช่วยเหลือตัวเองหรือได้รับความช่วยเหลือและไปโรงพยาบาลแล้ว
ส่วนนายธนศักดิ์ ผู้แทนกรมทางหลวง กล่าวว่า กรมทางหลวงยินดีที่จะเข้าไปรับผิดชอบในการดำเนินการต่าง ๆ ให้ได้รับความเรียบร้อยมากที่สุด ขณะนี้ได้รับการติดต่อจากลูกสาวของผู้เสียชีวิต เบื้องต้นจะเข้าไปช่วยในเรื่องของงานศพให้ออกมาดีที่สุด โดยกรมทางหลวงจะเป็นเจ้าภาพในการจัดงานทั้ง 3 วัน
พ.ต.อ.นายแพทย์ปกรณ์ ผู้แทนสถาบันนิติเวชวิทยา เปิดเผยว่า ผลจากชันสูตรเบื้องต้นพบว่า ผู้เสียชีวิตแขนหักทั้งสองข้างมีการบาดเจ็บภายใน ซึ่งเป็นการบาดเจ็บหลักคือบริเวณทรวงอกที่เกิดจากกระแทกกับของแข็งไม่มีคม ทำให้กระดูกซี่โครงทั้ง 2 ข้างหักหลายซี่ และเกิดแผลที่หน้าอก ที่สำคัญมีการช้ำของเยื่อหุ้มหัวใจ และเลือดคลั่งภายในเยื่อหุ้มหัวใจที่ค่อนข้างรุนแรง เนื่องจากมีเลือดปริมาณมากออกมาจากขั้วหัวใจ ซึ่งมักพบบ่อย ๆ ในผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตหลังเกิดบาดแผลเพียงไม่กี่นาที ส่วนกรณีที่ญาติติดใจสงสัย หากเจ้าหน้าที่เจอแล้วนำไปส่งโรงพยาบาล อาจจะทำให้รอดชีวิตนั้น พบว่า บาดแผลที่เกิดขึ้นค่อนข้างรุนแรง เป็นไปได้ว่าอาจจะเสียชีวิตในทันทีได้
#สอบไม่เจอศพ
#ทางหลวง