กรณีที่ทางการเมียนมาคาดว่าต้องใช้เงินประมาณ 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯสำหรับการชำระเงินกู้ในประเทศและต่างประเทศทุกปี ธนาคารกลางของเมียนมาออกคำสั่งเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2565 ให้บริษัทในท้องถิ่นและธนาคารต่างๆ ระงับการชำระดอกเบี้ย และการคืนเงินกู้ด้วยสกุลเงินตราต่างประเทศ เพื่อควบคุมกระแสเงินต่างประเทศ ที่มีจำนวนลดลงเนื่องจากค่าเงินจ๊าตอ่อนค่าลงอย่างมากเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ผลักดันให้ราคาน้ำมันและอาหารในประเทศเพิ่มสูงขึ้นมาก
เมียนมามีวิกฤตเศรษฐกิจตั้งแต่ที่กองทัพเข้ายึดอำนาจเมื่อปีที่แล้ว (2564) และธนาคารกลางได้ประกาศชุดคำสั่งเพื่อควบคุมระดับเงินต่างประเทศเป็นระยะ โดยในฉบับล่าสุดนี้ ระบุให้ผู้กู้ระงับการชำระดอกเบี้ยและเงินต้นด้วยเงินตราต่างประเทศ และให้ธนาคารที่ได้รับอนุญาต แจ้งลูกค้าที่เป็นธุรกิจซึ่งมีหนี้ต่างประเทศปรับตารางการชำระคืนเงินกู้กับผู้ให้กู้ในต่างประเทศ
บลูมเบิร์กรายงานว่า บริษัทในเมียนมามีการกู้ยืมเงินในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอย่างน้อย 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ระบอบการปกครองของเมียนมาได้เพิ่มความเข้มงวดกฎการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศหลังจากที่ค่าเงินของประเทศสูญเสียมูลค่าไป 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว
ผู้มีรายได้จากอัตราแลกเปลี่ยนส่วนใหญ่ได้รับคำสั่งให้แปลงสกุลเงินของตนเป็นจ๊าดที่อัตราอ้างอิงของธนาคารกลางที่ 1,850 จ๊าดต่อดอลลาร์ ที่กำหนดไว้ในเดือนเมษายน
ห้ามการนำเข้ารถยนต์และสินค้าฟุ่มเฟือย รวมทั้งห้ามการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันประกอบอาหาร แต่อนุญาตให้ใช้เงินหยวนและบาทเพื่อการค้าตามแนวชายแดนจีนและไทยได้
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางอนุญาตให้สถาบันต่างประเทศจัดตั้งสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร หรือเข้าร่วมกิจการร่วมค้าเพื่อเพิ่มทุนต่างประเทศ นอกจากนี้ รัฐบาลยังเพิกถอนการยกเว้นที่มอบให้กับบริษัทจดทะเบียนที่มีกรรมสิทธิ์ในต่างประเทศขั้นต่ำที่ร้อยละ 10 จากกฎการแปลงเงินตราต่างประเทศ
.....
#เมียนมา
#ระงับใช้หนี้ต่างประเทศ