หลังโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งออกแพคเกจรักษาผู้ป่วยโควิด-19 นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) กล่าวว่า การออกแพคเกจใดๆ ต้องอิงอาการคนไข้เป็นหลัก ต้องเป็นไปตามมาตรฐานการรักษา และมาตรฐานสถานพยาบาลการออกแพคเกจต้องแจ้งล่วงหน้า และแจ้งราคาให้ประชาชนทราบล่วงหน้า สิ่งที่สำคัญการให้ยาต้องรักษาตามอาการ ตามมาตรฐาน หากทำผิดนอกเหนือจากนั้น จะผิดทั้งพรบ.สถานพยาบาลฯ และหากแพทย์เป็นผู้สั่งจ่ายนอกเหนืออาการก็จะเข้าข่ายผิดเรื่องการประกอบวิชาชีพ ซึ่งเป็นในส่วนของแพทยสภาเข้ามาตรวจสอบ
ก่อนหน้านี้ โรงพยาบาลเอกชน ได้ออกแพคเกจ รักษาโควิด-19โดยให้ผู้ป่วยเลือกว่า จะเลือกแพคเกจใด อาทิ ยาฟาวิพิราเวียร์ 50 เม็ด ราคา 2,900 บาท ยาฟาวิฯแบบครบโดส บวกกับปรอทและเครื่องวัดออกซิเจนในเลือด ราคา 3,000 บาท และรพ.เอกชน บางแห่งเสนอยาโมลนูพิราเวียร์อีกประมาณ 20-30 เม็ด ราคา 5,700 บาท และยังมีแพคเกจอื่นๆอีกมากนั้น
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า แม้สถานการณ์โรคโควิด-19 ของประเทศไทยจะเข้าสู่ระยะหลังการระบาดใหญ่แล้ว แต่ยังสามารถพบการติดเชื้อ และเกิดการระบาดเป็นระลอกเล็กๆ ได้ ซึ่งขณะนี้การระบาดมีแนวโน้มสูงขึ้น ดังนั้น ในช่วงสัปดาห์นี้ที่มีวันหยุดยาวต่อเนื่องกันหลายวัน ประชาชนอาจเดินทางไปท่องเที่ยว รวมกลุ่มทำกิจกรรมจำนวนมาก มีความเสี่ยงอาจทำให้การติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้ ที่เป็นห่วงคือการนำเชื้อมาติดกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ที่อาจทำให้มีอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ ดังนั้น ขอให้ประชาชนยังต้องคงมาตรการป้องกันตนเองอย่างต่อเนื่อง และมารับวัคซีนเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน
#โควิด19
แฟ้มภาพ