เงินยูโรอ่อนค่า สะท้อนนโยบาย ECBต่างจากเฟด กระทบเงินทุนไหลจากยุโรปไปสหรัฐฯ

07 กรกฎาคม 2565, 08:46น.


           การอ่อนตัวของค่าเงินยูโร มีที่มาที่ไปอย่างไรและจะเกิดอะไรขึ้น นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยข้อมูลผ่านทาง Facebook กอบศักดิ์ ภูตระกูล โดยระบุว่า



           "อ่อนทำสถิติ กันถ้วนหน้า !!! เมื่อวานนี้ ค่าเงินยูโร ได้อ่อนค่าลงไปแตะระดับ 1.0162 ดอลลาร์/ยูโร  ซึ่งเป็นการอ่อนลงอย่างรวดเร็วประมาณ 2.3% ส่งผลให้เงินยูโรทำสถิติอ่อนค่ามากสุดในรอบ 20 ปี !!! พร้อมลงไปแตะระดับ 1 ดอลลาร์ = 1 ยูโร ซึ่งถ้าอ่อนค่าต่อเนื่องลงกว่านั้น ก็จะเป็นอีกรอบที่ "เงินดอลลาร์มีค่ามากกว่าเงินยูโร" หลังจากที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปี 2000-2002 หากเป็นเช่นนี้ ก็จะมีความหมายมาก ที่นอกจากจะมีนัยยะต่อ "คนที่เก็งกำไรค่าเงินในระยะสั้น" แล้ว ค่าเงินยังสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจด้วย การที่เงินยูโรลดค่าลงมาที่ 1 ดอลลาร์/ยูโร จากที่เคยสูงสุดประมาณ 1.6 ดอลลาร์/ยูโร เมื่อปี 2008 (ระหว่างที่เศรษฐกิจยุโรปเฟื่องฟูมาก จากการผสานเป็นเนื้อเดียวกับยุโรปตะวันออก ที่เปิดประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ และขยายตัวได้ดีอย่างยิ่ง ในช่วงก่อนเกิดวิกฤต Subprime) หมายความว่า คนอเมริกาสามารถซื้อสินทรัพย์และสินค้าต่างๆ จากยุโรปด้วยเงินที่ลดลงถึง 60% หากคิดจะซื้อโรงแรม ที่ดิน บริษัท จากที่เคยต้องจ่าย 1.6 พันล้านดอลลาร์ ก็จะลดลงเหลือเพียง 1 พันล้านดอลลาร์ เท่านั้น !!! สะท้อนถึงความมั่งคั่งและฐานะของยุโรปที่ลดลงโดยเปรียบเทียบไปในตัว



         สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะปัจจัยสำคัญ 2-3 ด้าน



(1) ความแตกต่างของเศรษฐกิจสหรัฐฯและยุโรป ซึ่งล่าสุด ดูเหมือนจะว่ายุโรปกำลังจะมีปัญหามาก และชะลอตัวลงกว่าคาด จากผลของสงครามที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ดัชนี EURO STOXX 50 ซึ่งเป็นดัชนีของบริษัทชั้นนำของยุโรป ที่ได้ลดลงไป 12.5% ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของเยอรมัน ได้ลดต่ำลงไปกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ไปแล้วประมาณ 10% เช่นกัน นอกจากนี้ เยอรมันซึ่งเป็นหัวรถจักรสำคัญที่สุดของยุโรป กำลังเผชิญกับปัญหาการขาดดุลบัญชีการค้าเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาพลังงานในยุโรปที่เพิ่มขึ้นมาก ทำให้ต้นทุนในการผลิตสินค้าของเยอรมันพุ่งสูงขึ้น การส่งออกจึงหดตัวลง 0.5% ขณะที่มูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นตามราคาพลังงานโลก และยิ่งรัสเซียตอบโต้กลับ โดยลดการส่งก๊าซให้กับยุโรป และอาจจะตัดเลยในอนาคต เศรษฐกิจยุโรปก็อาจจะเข้าสู่ภาวะ Recession ต่อไปได้



(2) ความแตกต่างของนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) และ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งเฟดมีความชัดเจนมากเรื่องการสู้กับเงินเฟ้อ ขณะที่ ECB ยังรีรอ ยิ่งตลาดแรงงานของสหรัฐฯยังไปได้ แต่เศรษฐกิจยุโรปอาจจะเกิดปัญหา ความแตกต่างของนโยบายก็จะยิ่งชัดเจนขึ้น เรื่องนี้ ทำให้เงินไหลจากยุโรปไปสหรัฐฯ และส่งผลต่อค่าเงินทั้งหมด จึงทำให้เงินยูโรที่ปกติแล้วจะอยู่ระหว่าง 1.1-1.2 ดอลลาร์/ยูโร ด้อยค่าลง กลายเป็นอีกสกุลเงินที่อ่อนทำสถิติใหม่"





#เงินยูโรอ่อนค่า



CR:Facebook กอบศักดิ์ ภูตระกูล 



 



 



 



 

ข่าวทั้งหมด

X