นายแดน หวัง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารฮั่งเส็ง แบงค์ ไชนา เปิดเผยว่า หุ้นสหรัฐฯในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ร่วงหนักที่สุดนับตั้งแต่ปี 2513 หลังนักลงทุนส่วนใหญ่รู้สึกกังวลว่า รัฐบาลสหรัฐฯจะมีมาตรการอย่างไรในการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 7.6 ในเดือนที่แล้ว กระทบการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงร้อยละ 20.6 ขณะที่ดัชนีหุ้นหลักอื่นๆของสหรัฐฯเช่น ดัชนีแนสแดคคอมโพสิต ร่วงกว่าร้อยละ 30 ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์อุตสาหกรรมร่วงกว่าร้อยละ 15 ร่วงมากที่สุดนับแต่ปี 2505 เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆเช่น อังกฤษ ยุโรปและเอเชียต่างร่วงหนักเช่นกัน
ที่ผ่านมา ธนาคารกลางของประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก รวมทั้งธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟด ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ หลังจากราคาอาหารและน้ำมันแพง ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนคาดว่า สหรัฐฯ ซึ่งประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในปีนี้
โดยเฉพาะเฟดมีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.75 สู่ระดับร้อยละ 1.5-1.75 ในการประชุมเมื่อ15 มิถุนายน นับเป็นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดของเฟดในรอบ 28 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2537 ขณะที่ธนาคารกลางแห่งอังกฤษปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ 1 มาอยู่ที่ร้อยละ 1.25 นับเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า ถ้าหากเฟดและธนาคารกลางของประเทศหลักๆทั่วโลกเช่น อังกฤษและธนาคารกลางยุโรป ยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก ตลาดหุ้นสหรัฐฯและทั่วโลกอาจจะตอบสนองในเชิงลบ เช่น นักลงทุนอาจจะขายหุ้น จะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นร่วงลงอีก
ด้านนายเชน โอลิเวอร์ นักวิเคราห์จากบริษัทเอเอ็มพี แคปปิตอล คาดว่า หุ้นต่างๆในตลาดหุ้นสหรัฐฯอาจจะผันผวนในระยะสั้น หลายนักทุนส่วนใหญ่คาดว่าเฟดอาจจะยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อควบคุมเงินเฟ้อของสหรัฐฯ อีกทั้งมีปัจจัยลบอื่นๆเช่น สถานการณ์การสู้รบในยูเครน ยังไม่มีแนวโน้มยุติลงในอนาคตอันใกล้ และหลายฝ่ายหวั่นเกรงเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเข้าสู่ภาวะชะลอตัวในปีนี้
#สหรัฐฯ
#ตลาดหุ้น
#เงินเฟ้อ