‘สันติ’ ให้การภาคเสธ อ้างมาเฟียไต้หวัน ฆ่า สามีภรรยาคนไทยพร้อมลูกแฝดในท้อง

17 มิถุนายน 2565, 18:43น.


          พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. นายอีธาน หลิน ทูตตำรวจไต้หวันประจำประเทศไทย ร่วมกันแถลงจับกุม นายสันติ หรือหวัง ศุภอภิรดีไพลิน อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาหมายจับ ในความผิดฐาน “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา” โดยจับกุมได้ที่บ้านอรุโณทัย หมู่ 10 ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ หลังก่อเหตุฆาตกรรม น.ส.พจนีย์ แซ่หลี่ อายุ 35 ปี และ นายประเสริฐ โนราษ อายุ 32 ปี สองสามีภรรยาชาวไทยและลูกแฝดในครรภ์ ก่อนหลบหนีมายังประเทศไทย จากการสอบสวน นายสันติ ยังให้การภาคเสธโดยอ้างว่า ไม่ได้ลงมือก่อเหตุแต่ได้พาดพิงไปยังบุคคลอื่น ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบต่อรูปคดี ซึ่งหากมีความจำเป็น ก็อาจต้องให้พนักงานสอบสวนประสานกับตำรวจไต้หวันเพื่อสอบสวนเพิ่มเติม ในกรอบระยะเวลา 84 วัน ก่อนสรุปสำนวนและมีความเห็นทางคดีส่งพนักงานอัยการพิจารณา



       มีรายงานว่า นายสันติ เปิดเผยว่า ขอให้การภาคเสธ อ้างว่าก่อนหน้านี้ น.ส.พจนีย์ และ นายประเสริฐ ได้พาตนไปแนะนำให้รู้จักกับแก๊งมาเฟียไต้หวันกลุ่มหนึ่ง เพราะว่าตนจะเป็นคนดูแลประสานงานต่างๆ จึงอยากให้รู้จักกันไว้ จากนั้นไม่นานทราบว่าผู้ตายกับกลุ่มมาเฟียดังกล่าวเริ่มมีปัญหาทะเลาะขัดแย้งกัน เกี่ยวกับเรื่องหนี้สินที่ผู้ตายติดค้างกว่า 10 ล้านบาท ทราบว่า ทางกลุ่มมาเฟียเคยทวงถามหลายครั้ง แต่ผู้ตายยังนิ่งเฉย จนกระทั่งเข้าวันที่ 8 มิ.ย. กลุ่มมาเฟียจึงส่งคนมาหาตนที่ทำงาน ก่อนบังคับให้ติดต่อล่อลวงผู้ตายทั้งสองมาพบโดยให้ตนทำทีเป็นอ้างว่ามีธุระจะคุยด้วย





          ช่วงแรกนัดเจอกันประมาณ 19.00 น. แต่ตอนนั้น ผู้ตายติดธุระ จึงเลื่อนมาพบตอนประมาณ 22.00 น. ขณะนั้นกลุ่มมาเฟียได้ส่งชายฉกรรจ์สวมหมวกไอ้โม่งปิดบังใบหน้ามาเฝ้ารออยู่ด้วย 7 คน เมื่อผู้ตายมาถึงชายฉกรรจ์ 2 คน ก็พาตนกับผู้ตายทั้งสองเข้าไปในห้อง ส่วนชายฉกรรจ์ที่เหลืออีก 5 คน พร้อมอาวุธปืนยืนคุมเชิงอยู่หน้าห้อง หลังการเจรจาผ่านไปสักระยะสถานการณ์ภายในห้องก็เริ่มตึงเครียดมากขึ้น



          ก่อนที่ชายฉกรรจ์จะเริ่มลงไม้ลงมือทำร้ายร่างกาย น.ส.พจนีย์ โดยใช้ของแข็งคล้ายท่อนเหล็กห่อด้วยกระดาษทุบตี น.ส.พจนีย์ จนล้มลง ขณะที่ นายประเสริฐ ก็พยายามเข้าช่วย จึงถูกตีจนล้มลงไปกองกับพื้นอีกคน ตนเห็นท่าไม่ดีจึงพยายามเข้าห้ามปราม ทำให้ถูกตีเข้าที่แขนได้รับบาดเจ็บไปด้วย อีกทั้งยังถูกข่มขู่ห้ามเข้ามายุ่ง ไม่อย่างนั้นจะถูกฆ่าตายไปด้วย จากนั้นชายฉกรรจ์ทั้งสองจึงลงมือกระหน่ำตีทั้งคู่จนเสียชีวิต



          จากนั้นกลุ่มคนร้ายก็ช่วยกันยกศพไปใส่ไว้ในรถ แล้วบังคับให้ตนขับรถนำศพไปทิ้งตามแผนการที่วางไว้ เพื่อให้ตนเป็นแพะรับบาปในคดีแทน หากไม่ทำตามจะฆ่าตนและตามไปฆ่าแฟนสาวของตนด้วย จึงเกิดความหวาดกลัวยอมทำตาม โดยขับรถวนไปมาบนทางด่วนอยู่นาน ก่อนตัดสินใจจอดรถที่มีศพอยู่ภายในทิ้งไว้ที่ลานจอดรถสถานีรถไฟฟ้า แล้วเดินออกมาที่โล่ง เพื่อให้กล้องวงจรปิดจับภาพของตนได้ เพื่อความปลอดภัยของตนเอง เสร็จแล้วก็รีบจองตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับประเทศไทย ซึ่งเดิมตั้งใจไว้ว่าจะกลับวันที่ 23 มิ.ย. แต่กลัวหากยังอยู่ต่ออาจจะไม่ปลอดภัย เมื่อพ้นอันตรายแล้วก็รีบโทรศัพท์ไปบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เพื่อนฟัง พร้อมกับบอกสถานที่จุดทิ้งศพ เพื่อให้แจ้งตำรวจมาตรวจสอบด้วย





          นายสันติ กล่าวด้วยว่า ถึงตอนนี้ยังคงยืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุ ดีเอ็นเอ ลายนิ้วมือแฝง บนหลักฐานต่างๆ สามารถพิสูจน์ได้ แต่ยอมรับว่ารู้สึกผิดที่เป็นคนลวงให้ผู้ตายมาถูกฆ่า เพระส่วนตัวแล้วก็นับถือรักและเคารพผู้ตายดั่งผู้มีพระคุณเหมือนกับพี่สาวคนหนึ่ง ที่ผ่านมามีปัญหาอะไรเขาให้ความช่วยเหลือตลอด มีแค่ระยะหลังที่เริ่มห่างกันเพราะมารู้ว่าเขาทำธุรกิจผิดกฎหมาย ซึ่งตนก็ไม่ทราบมาก่อนเหมือนกันว่าผู้ตายไปพัวพันหรือรู้จักกับแก๊งยาเสพติดหรือมาเฟียเหล่านี้ได้อย่างไร รู้เพียงว่าสาเหตุที่ผู้ตายไปขัดแย้งกับมาเฟีย เป็นเรื่องที่มาจากหนี้สินที่ติดค้างเป็นเงินกว่า 10 ล้านบาทนั้นเอง ที่ไม่กล้าแจ้งความเองนั้นเพราะรู้ดีว่ามาเฟียกลุ่มนี้เป็นผู้มีอิทธิพล เกรงจะไม่ได้รับความปลอดภัยด้วย



 



#ฆ่าคนไทย



#มาเฟียไต้หวัน



CR:สถานีโทรทัศน์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

ข่าวทั้งหมด

X