มาตรการการแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพง เพื่อลดผลกระทบต่อค่าครองชีพประชาชน และการเติบโตของเศรษฐกิจ ในช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีความผันผวนในระดับสูงจากผลกระทบสงครามรัสเซีย-ยูเครน ในวันนี้ นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค นายสันติ กีระนันทน์ กรรมการบริหารพรรค และนายนริศ เชยกลิ่น โฆษกพรรค ร่วมกันแถลงข่าว
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ในฐานะอดีต รมว.พลังงาน มองว่า ยังมีแนวทางที่สามารถบริหารต้นทุนราคาน้ำมันให้ถูกลงเพื่อลดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนได้ ทั้งมาตรการแก้ปัญหาในระยะเร่งด่วนและการแก้ปัญหาเชิงรุกในระยะยาวให้ครอบคลุม สำหรับมาตรการระยะเร่งด่วนที่สามารถทำได้และต้องทำทันที คือ
-การลดราคาหน้าโรงกลั่นโดยทบทวนการอ้างอิงราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์ชั่วคราว ด้วยการหักค่า FIL ได้แก่ ค่าขนส่ง ประกันภัย และค่าความสูญเสียออกในช่วงที่เกิดภาวะวิกฤตเช่นนี้ นับเป็นมาตรการที่ทำได้และต้องทำทันที ในช่วงที่ประชาชนลำบาก การงดการอ้างอิงชั่วคราวถือเป็นการลดต้นทุนแฝงในราคาน้ำมันได้ โดยรัฐต้องเป็นเจ้าภาพในการเข้าไปดูแลและหารือกับกลุ่มผู้ประกอบการโรงกลั่น เพื่อหาจุดตรงกลางที่สามารถเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขร่วมกันได้
"ที่สำคัญรัฐไม่ควรปล่อยให้ราคาน้ำมันดีเซลเกินเพดานที่สูงเกินไป เพราะจะทำให้ราคาสินค้าต่าง ๆ ขยับขึ้นตามค่าขนส่ง กระทบค่าครองชีพประชาชน ขณะเดียวกันก็ยังกระทบไปถึงต้นทุนและการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศ เหมือนวิกฤตซ้ำวิกฤตอีกด้วย
ส่วนการแก้ปัญหาเชิงรุกระยะยาว ขอเสนอ 3 แนวทางสำคัญ คือ
1.การพิจารณาเพดานค่าการกลั่นให้มีความเป็นธรรมทั้งต่อประชาชนผู้บริโภคและผู้ประกอบการโรงกลั่น โดยพิจารณาในส่วนของค่าพรีเมี่ยมและค่าใช้จ่ายต่างๆที่ยืดหยุ่นได้ ซึ่งตรงนี้รัฐต้องเป็นเจ้าภาพเพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน
2.การหาแหล่งพลังงานราคาถูกในต่างประเทศเพิ่มเติม และ
3.การสร้างยุทธศาสตร์พลังงาน
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า มาตรการแก้ไขในระยะยาว 2 แนวทาง คือ
1.การวางแผนการสำรองน้ำมันในภาวะวิกฤต (Storage Petroleum Reserve) ซึ่งเป็นแผนที่ใช้รองรับช่วงที่เกิดวิกฤต โดยสามารถดำเนินการในช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีราคาถูกลง เพื่อสำรองใช้เมื่อเกิดวิกฤต นอกเหนือจากการใช้เพียงกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในปัจจุบันเพียงอย่างเดียว
2.การหันมาใช้ภาษีคาร์บอน ที่สามารถนำมาปรับใช้ร่วมกับภาษีสรรพสามิต เพื่อนำเงินภาษีนี้มาใช้ ส่งเสริมการลงทุนในพลังงานทางเลือก ซึ่งพรรคมีนโยบายการส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) ทั่วประเทศ ซึ่งจะลดการพึ่งพิงพลังงานจากปิโตรเลียมลง
ด้านนายสันติ กล่าวว่า ที่ผ่านมากลุ่มผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมัน มีกำไรที่ไต่ระดับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเทียบตัวเลขย้อนหลัง 5 ปี พบว่ามีกำไรมหาศาล และคาดการณ์จากผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี 2565 มีแนวโน้มที่จะเห็นกลุ่มโรงกลั่นจะมีกำไรพุ่งขึ้นกว่า 28 เปอร์เซ็นต์ หากคิดเป็นผลประกอบการเต็มปี
สำหรับโรงกลั่นน้ำในประเทศไทย มี 6 แห่ง แบ่งเป็นของต่างประเทศ 2 แห่ง คือ เอสโซ่ ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือบริษัทเอ็กซอน และ สตาร์ปิโตรเลียมผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ เชฟรอน ส่วนอีก 4 โรงกลั่นใหญ่เป็นของประเทศไทย คือ พีทีทีจีซี ไทยออยล์ บางจาก และ ไออาร์พีซี ล้วนแล้วแต่มี ปตท. เป็นผู้ถือหุ้นแต่ละบริษัทไม่น้อยกว่า 45% ของหุ้นทั้งหมด และ ปตท.เองก็มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น 51.11% และยังมีกองทุนรวมวายุภักษ์ถือหุ้นอีก 12.16% ซึ่งแสดงให้เห็นได้ว่า ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของโรงกลั่น ก็คือรัฐนั่นเอง เชื่อว่ารัฐสามารถมีมาตรการเพื่อให้บริษัทเหล่านั้นเปลี่ยนจากการมุ่งทำกำไรระยะสั้นลง แต่หันไปมองผลกำไรระยะยาว ตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) แทน
#วิกฤตน้ำมันแพง