หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สูงสุดในรอบ 28 ปี ดัชนีดาวโจนส์ ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดตลาดบวก เนื่องจากตลาดรับรู้เรื่องนี้มาแล้ว แต่การลงทุนในการซื้อขายล่าสุด ดัชนีกลับมาปิดตลาดวันพฤหัสบดี(16 มิ.ย.65) ปิดลบแรง เนื่องจากมีแรงเทขาย กังวลว่าเศรษฐกิจจะถดถอย เนื่องจาก แบงก์ชาติทั่วโลก ปรับขึ้นดอกเบี้ย สกัดเงินเฟ้อที่พุ่งสูง โดยเฉพาะธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์และสหราชอาณาจักรที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ยิ่งเพิ่มความกังวลมากขึ้นว่าเศรษฐกิจโลกเติบโตช้าลงกว่าเดิม
-ดาวโจนส์ ลดลง 741.46 จุด (2.42%) ปิดที่ 29,927.07 จุด หลุดแนว 30,000 จุด แตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปีดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 17% จากระดับสูงสุดที่ทำไว้เมื่อเดือนม.ค.65
-เอสแอนด์พี 500 ลดลง 123.22 จุด (3.25%) ปิดที่ 3,666.77 จุด ในการซื้อขายล่าสุด เอสแอนด์พี 500 ดิ่งลง 6 ใน 7 วัน
-แนสแดค ลดลง 453.06 จุด (4.08%) ปิดที่ 10,646.10 จุด
ดัชนี เอสแอนด์พี 500 และ แนสแดค เข้าสู่ภาวะหมีแล้ว โดยดิ่งลง 21% และ 32% ตามลำดับจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ทำไว้เมื่อเดือนม.ค.65 และพ.ย.64
ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.25% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี และเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนธ.ค.64
ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 15 ปี
ธนาคารกลางฮังการี บราซิล และไต้หวัน ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ค. 65 ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 11 ปี
ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ เกิดภาวะ inverted yield curve โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 5 ปีดีดตัวสูงกว่าอายุ 10 ปีและ 30 ปี หลังจากที่เฟด เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
การเกิดภาวะ inverted yield curve ในตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ซึ่งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นดีดตัวเหนือพันธบัตรระยะยาว ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ความวิตกกังวลของนักลงทุน ประกอบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่อ่อนค่าลง ทำให้ราคาทองคำ ปิดตลาดในวันพฤหัสบดี(16 มิ.ย.65) ปิดบวก
-ราคาทองคำโคเม็กซ์ งวดส่งมอบเดือนส.ค.65 เพิ่มขึ้น 30.30 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,849.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์
#หุ้นสหรัฐฯร่วง
#กังวลเศรษฐกิจถดถอย
CR:CNBC,The Economic Times