นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน ร่วมกันแถลงมติที่ประชุมหารือมาตรการเศรษฐกิจเพื่อบรรเทาผลกระทบของประชาชน อันเนื่องมาจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้ขยายเวลามาตรการช่วยเหลือประชาชนบางส่วนที่ใกล้หมดอายุในเดือนมิถุนายนนี้ ออกไปอีก 3 เดือน ไปจนถึงเดือนกันยายน เช่น มาตรการส่วนลด NGV สำหรับแท็กซี่ และส่วนลด LPG สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
สำหรับมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนเรื่องราคาน้ำมันรัฐบาลได้มีการเจรจากับโรงกลั่นน้ำมัน และโรงแยกก๊าซทั้งหมดที่มีกำไรเพิ่มขึ้นในช่วงที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นมาช่วยเหลือค่าน้ำมันประชาชนโดยส่งเงินเข้าสู่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และลดราคาน้ำมันเบนซิน เป็นเงินรวมทั้งหมดประมาณ 7,500 – 8,000 ล้านบาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือน ก.ค.-ก.ย.2565 โดยการเก็บเงินจากธุรกิจโรงกลั่นและโรงแยกก๊าซจากกำไรการกลั่นน้ำมัน และการแยกก๊าซ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
1.กำไรจากการกลั่นน้ำมันดีเซลเดือนละประมาณ 5 – 6 พันล้านบาท โดยเงินส่วนนี้จะส่งเข้าสู่กองทุนน้ำมันฯ
2.กำไรจากการกลั่นน้ำมันเบนซินจะเก็บจากโรงกลั่นเดือนละ 1 พันล้านบาท โดยในส่วนนี้จะมีการเก็บเงินเพื่อไปชดเชยให้กับผู้ใช้ราคาเบนซิน โดยลดราคาน้ำมันเบนซินให้กับผู้ใช้เบนซิน 1 บาทต่อลิตรและ
3.เก็บจากกำไรของโรงแยกก๊าซ เดือนละประมาณ 1,500 ล้านบาท โดยกำไรส่วนนี้จะเก็บเข้าสู่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นการเสริมสภาพคล่องให้กับกองทุนเช่นกัน
ด้านกระทรวงการคลัง จะเสนอมาตรการภาษีกระตุ้นการท่องเที่ยว นอกเหนือจากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ที่รอเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมครม. โดยจะเสนอให้บริษัทเอกชน ที่นำพนักงานไปท่องเที่ยวในเมืองรอง หักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า ส่วนในเมืองหลักสามารถลดหย่อนได้ 1.5 เท่า
ส่วนจัดงานอีเวนท์ในต่างจังหวัด นิติบุคคลจะสามารถลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน ระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคมถึง 31 ธันวาคม 2565 และยังมีมาตรการที่จะขอให้ช่วยกันประหยัดพลังงาน ซึ่งจะนำเข้าสู่ที่ประชุมพิจารณาในที่ประชุมครม. สัปดาห์หน้า 21 มิถุนายน 2565
#ลดเบนซิน
#ส่งกำไรเข้ากองทุนน้ำมัน