คณะกรรมาธิการตรวจสอบรัฐสภา สหรัฐฯ เปิดเผยรายงานการตรวจสอบโครงการความช่วยเหลือธุรกิจซึ่งได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมโควิด-19 บ่งชี้ว่า สหรัฐฯ ล้มเหลวในการดำเนินการขั้นพื้นฐานในช่วงเริ่มต้นของการระบาดใหญ่ของโควิด-19 เพื่อป้องกันการฉ้อโกงเงินโครงการ ทั้งทำให้มีความเสี่ยงต่อการขโมยข้อมูลประจำตัวมากขึ้น
นายเจมส์ ไคลเบิร์น ประธานคณะกรรมาธิการจากพรรคเดโมแครต กล่าวโทษฝ่ายบริหารของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าไม่มีการวางแผนการทำงานและการตรวจสอบที่รัดกุมมากพอทำให้เงินประมาณร้อยละ 20 ของโครงการตกไปอยู่กับผู้หลอกลวง
เมื่อวานนี้ (14 มิ.ย.) สำนักงานผู้ตรวจการทั่วไปของโครงการความช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็ก รายงานว่า การฉ้อโกงมูลค่าประมาณ 80,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการใช้ข้อมูลประจำตัวที่ถูกขโมย และมีคำขอกู้เงินราว 1,600,000 รายการ ที่ได้รับการอนุมัติโดยที่ไม่มีการตรวจสอบก่อน และมีคำร้องจำนวนมากที่แอปพลิเคชันตรวจสอบขึ้นธงแดงเตือนเรื่องการฉ้อโกง แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังอนุมัติให้มีการโอนเงินให้ผู้ร้อง
โดยเมื่อเดือนธันวาคม ปีที่แล้ว (2564) หน่วยสืบราชการลับเคยออกคำเตือนว่ามีเงินเกือบ 1 แสนล้านดอลลาร์ถูกฉ้อโกงไปจากโครงการบรรเทาทุกข์โควิด-19 แต่ทำเนียบขาวตอบโต้ว่า หน่วยงานประเมินโดยอ้างอิงจากรายงานเก่า และในรายงานของสำนักงานผู้ตรวจการทั่วไป ชี้ว่า สำนักงานจัดการเหตุฉุกเฉินกลาง (Federal Emergency Management Agency) อาจถูกเรียกเก็บเงิน 2 ครั้งสำหรับงานศพของผู้เสียชีวิตหลายร้อยคนที่เสียชีวิตจากโควิด-19
ปัญหาทุจริตในโครงการต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ทำให้หลายรัฐชะลอการใช้จ่ายเงินงบประมาณ ทั้งมีการคืนเงินมากกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ที่ได้รับการจัดสรรภายใต้โครงการสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ 2 โครงการ อัยการสหรัฐฯ ตั้งข้อหาบุคคลเกือบ 1,500 คนฐานฉ้อโกงและยังมีการสอบสวนขยายผลอีกมากกว่า 1,150 คดี ซึ่งเจ้าหน้าที่คาดว่าอาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะไขปัญหาทั้งหมดได้
...
#สหรัฐฯ
#โกงเงินช่วยเหลือโควิด