หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เปิดเผยถึงประเด็นด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการขยายการค้าเขตเศรษฐกิจพิเศษว่า ได้ให้มาตรการกับกระทรวงมหาดไทยไปดูพื้นที่ต่างๆที่อาจว่างเปล่าเพื่อนำใช้ โดยเขตเศรษฐกิจพิเศษจะเน้นส่งเสริมนิคมอุตสาหกรรมและการส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมทั้งสนับสนุนให้เอกชนเข้าค้าขายยังพื้นที่ให้มากขี้น รวมทั้งจะปรับปรุงถนนและด่านศุลกากร เพื่อรองรับบริษัทที่มาลงทุนและแรงงานเพื่อนบ้านที่ต้องจดทะเบียนให้มากขึ้น เพราะเชื่อว่าหากมีเขตเศรษฐกิจพิเศษก็จะมีแรงงานเข้ามามากขึ้น โดยจะมอบหมายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดูแล เพื่อเป็นการกระจายอำนาจให้มากขึ้น พร้อมระบุว่ามีคณะทำงานขับเคลื่อนกว่า 5 คณะคอยดูแลอยู่แล้ว ส่วนงบประมาณก็มีเตรียมไว้แล้วกว่าร้อยละ 30
ส่วนสถานการณ์การค้าต่างประเทศ ถือว่าดีขึ้นจากปัจจัยเกื้อหนุนหลายอย่าง แต่ก็ยังต้องแก้ไขให้เป็นระบบต่อไป ยืนยันว้ารัฐบาลตั้งใจทำงานและจริงใจที่จะแก้ไขปัญหาทุกด้าน แต่ต้องขอเวลาในการแก้ปัญหาเช่นกัน
ส่วนการเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชาว่า รัฐบาลก็ไม่ได้เก็บภาษีจากโรงเรียนได้มาก และพบว่าโรงเรียนกวดวิชาเป็นกิจการที่มีรายได้ ซึ่งไม่ค่อยเสียภาษี ซึ่งจำเป็นต้องเก็บเพื่อสร้างระบบภาษีที่เป็นธรรม และเป็นการปรับโครงสร้างภาษีใหม่ทั้งระบบ ซึ่งตัวเองมองว่าประชาชนยังไม่ค่อยยอมรับกติกานี้ แต่ยอมรับเสียงสะท้อนจากทุกฝ่าย
ขณะเดียวกันหากต่อไปนี้หน่วยงานรัฐจะเดินทางไปดูงานใดๆในต่างประเทศได้กำชับให้เชิญภาคประชาชนหรือนักธุรกิจเดินทางไปร่วมงานด้วย เพื่อเป็นการสร้างมิตรสัมพันธ์ใหม่และหาตลาดใหม่ๆด้วย ส่วนโครงการอาชีวอาสากว่า 50 จุด ส่วนตัวก็พอใจกับกระแสตอบรับและอยากให้เยาวชนรุ่นใหม่เข้าเรียนสายอาชีพให้มากขึ้น เพราะตลาดแรงงานขาดแคลนมาก ซึ่งได้เสนอแนวทางต่างๆไปให้หน่วยงานพิจารณา เช่น อยากให้เด็กมัธยมมีวิชาเลือกมากขี้น ให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลดูแลเด็กด้านวิศวกรรม ส่วนมหาวิทยาลัยรัฐอาจดูแลเด็กเพื่อเป็นนักวิชาการ
นอกจากนี้ได้กำชับให้เร่งสร้างรถไฟฟ้าและระบบสาธารณูปโภคให้เร็วขึ้นด้วย และยังฝากถึงคนไทยให้หันมาเที่ยวในไทยมากขึ้นหลังพบว่า มักจะไปเที่ยวต่างประเทศกันมากกว่าภายในประเทศ ส่วนการประมูลคลื่นความถี่ 4 จีนั้น จะเร่งประมูลให้ได้ในสิ้นปีนี้ โดยจะต้องจัดสรรบริษัทประมูลและคลื่นความถี่อย่างเป็นธรรม ยืนยันว่าไม่ได้ผูกขาดแค่ 3 คลื่นใหญ่ โดยได้มอบหมายให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้ดูแลหลักซึ่งจะต้องมีการปรับโครงสร้างอีกมากด้วย
ส่วนการปฎิรูปประเทศ ก็ระบุว่าทุกฝ้ายต้องประสานงานกันทุกด้านเพื่อให้ประเทศพัฒนา ซี่งต้องใช้เวลาในการปฎิรูปเพื่อไม่ให้เสียเปล่า พร้อมระบุว่าหากมีข้าราชการที่ประพฤติมิชอบก็อาจจะมีการปรับย้าย โดยจากนี้อาจมีการแต่งตั้งโยกย้ายอีกมาก แต่หากข้าราชการประพฤติดีก็คงไม่มีปัญหาใด ส่วนประเด็นฉายภาพยนตร์ เรื่อง อมีน ของชาวมุสลิมนั้น นายกฯก็ระบุว่าคงไม่มีปัญหาใดๆ และประชาชนชาวไทยมุสลิมก็อยู่ร่วมกันมาได้ดีมาโดยตลอด