หลังจากที่ศาลไกล่เกลี่ยคดีแพ่ง วัดพระธรรมกาย และพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ยอมคืนเงินจำนวน 684 ล้านบาทให้กับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น โดยจ่ายเงินเป็น 6 งวดๆละ 100 ล้านบาท พร้อมทั้งส่งทนายยื่นถอนฟ้องคดีแพ่งและอาญาต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)
นายเผด็จ มุ่งธัญญา ประธานกรรมการดำเนินการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น กล่าวว่า การไกล่เกลี่ยในวันนี้ยังมีส่วนต่างอีก100กว่าล้านบาทจากยอด818 ล้านบาทจะให้ทนายความไปดำเนินคดีต่อ ส่วนการติดตามยักยอกทรัพย์ที่เหลืออีกกว่า 20,000ล้านบาทเมื่อรวมดอกเบี้ยด้วยว่าจะมีการติดตามเป็นระยะ ซึ่งส่วนใหญ่ศาลจะนัดพิจารณาคดีในเดือนเมษายนนี้ ตั้งเป้าให้ได้เงินคืนอย่างน้อย 5 พันล้านบาท ทั้งในส่วนของของพระครูปลัดวิจารย์ ธีรังกุโร ที่รับเช็คจำนวน 119 ล้านบาทไปก่อตั้งมูลนิธิดูแลเด็ก นัดพิพากษาคดีในวันที่ 28 เมษายน เบื้องต้นยังไม่มีการเจรจาไกล่เกลี่ย ยืนยันว่านายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์ฯไม่เคยทำเรื่องขอกู้เงินสหกรณ์และไม่เคยนำเงินใดๆมาคืนให้แก่สหกรณ์ตามที่แถลงข่าว เป็นการตกแต่งบัญชีทั้งหมด เเละเชื่อว่าการแถลงข่าวของนายศุภชัย มีพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายสั่งการอยู่เบื้องหลังให้แก้ตัวแทน นายเผด็จ ชี้แจงเรื่องข่าวจะเชิญนายวิชัย ทองแตง อดีตคนสนิทของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มาเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจว่า เป็นความตั้งใจที่จะนำผู้เชี่ยวชาญมาช่วยเหลือสหกรณ์เท่านั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์ทางการเมืองและขณะนี้ก็ยกเลิกการเชิญนายวิชัย มาเป็นที่ปรึกษาแล้ว
ส่วน เงินที่ได้มาในการไกล่เกลี่ย ถือว่าช่วงแบ่งเบาภาระของสหกรณ์ฯที่ไม่ต้องเสียเวลาไปต่อสู้คดีในชั้นศาลเพิ่ม และจะเป็นอีกหลักฐานสำคัญที่จะนำไปต่อสู่ในชั้นศาลล้มละลายกลางได้ เชื่อว่าจะช่วยให้สหกรณ์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ส่วนการถอนฟ้องคดีอาญา ตัวเองก็มองว่าการจะฟ้องต่อไปคงไม่ได้ช่วยอะไร และไม่ได้ติดใจว่าวัดเจตนาจะฟอกเงินสหกรณ์ฯ โดยขณะนี้ก็เห็นว่าดีเอสไอมีคดีอื่นๆของนายศุภชัยและพวกที่ต้องพิจารณาฟ้องอยู่แล้ว ทั้งนี้ เงินนี้ได้วันนี้จะนำไปเยียวยาให้สมาชิกในฐานะเจ้าหนี้ที่ต้องการเบิกถอน หลังจากมีคำพิพากษาของศาลล้มละลายกลางในวันที่ 20 มีนาคมนี้ว่าจะมีคำพิพากษาอย่างไร ซึ่งหากพิพากษาล้มละลาย ก็พร้อมอุทธรณ์ แต่หากอนุมัติแผนฟื้นฟู ก็จะทำให้สหกรณ์ฯไม่ล้มละลาย และสามารถดำเนินกิจการได้ตามแผนทันที โดยจะต้องมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาดูแลแทนคณะกรรมการชุดปัจจุบันที่ไม่ว่าจะมีคำพิพากษาอย่างไรจะต้องยุติบทบาทในวันที่ 20 มีนาคมนี้ โดยแผนการฟื้นฟูนั้นได้กำหนดแนวทางไว้สองส่วนคือ ส่วน 684 ล้านบาทจะนำไปเยียวยาแก่สมาชิกในฐานะเจ้าหนี้ที่ต้องการเบิกถอน และจะนำเงินบางส่วนสำรองไว้เพื่อฟื้นฟูกิจการ ส่วนที่สองจะนำเงินสภาพคล่องที่มีอยู่ 200 ล้านบาทเศษไปปล่อยกู้ให้กับสมาชิกในโครงการเงินให้กู้ยืมระยะสั้น รายละไม่เกิน 50,000บาท ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6 ต่อปี เพื่อช่วยเหลือสมาชิก นอกจากนี้หากได้รับการฟื้นฟูก็จะมีการว่าจ้างบริษัทที่มีประสบการณ์ด้านการฟื้นฟูมาเป็นที่ปรึกษาทั้งทางกฎหมายและการเงินด้วย
ในการแถลงข่าววันนี้มีสมาชิกสหกรณ์ราว 20 คนมาร่วมแสดงความยินดี โดยหนึ่งในสมาชิกสหกรณ์ระบุว่า ตัวเองมีเงินอยู่เกือบ 2 ล้านบาท ตั้งใจเก็บเงินไว้ยามเกษียณเพื่อซื้อบ้าน โดยติดต่อขอคืนมาตั้งแต่ปี 2556 และคิดว่าคงยากที่จะได้คืนแม้ว่าจะได้เงิน 684 ล้านบาทแล้วก็ตามเพราะสหกรณ์ฯต้องแบ่งจ่ายสมาชิกจำนวนมาก พร้อมระบุว่าหากได้เงินคืนครบทั้งหมดก็จะยกเลิกธุรกรรมการเงินกับสหกรณ์ฯทันทีเพราะหมดความเชื่อถือแล้ว เว้นจากจะมีเครดิตบูโรและมีโครงสร้างที่น่าเชื่อถือ พร้อมระบุทราบว่านายศุภชัย ยักยอกทรัพย์มาตั้งแต่ปี 2552 เพราะการเบิกถอนเงินไม่เคยผ่านคณะกรรมการของสหกรณ์ แสดงให้เห็นว่ามีการยักยอกมาตลอด พร้อมระบุว่า เหตุที่สหกรณ์ฯมีสมาชิกจำนวนมากและมักเป็นผู้สูงวัยเนื่องจากการออมเงินได้อัตราดอกเบี้ยกว่าร้อยละ 10 โดยไม่เสียภาษี ซึ่งทำให้ดึงดูดผู้สูงวัยที่ต้องการออมเงินนั่นเอง
ธีรวัฒน์