การศึกษาเรื่องไวรัสโอไมครอน หรือ สายพันธุ์ B.1.1.529 โดยทีมนักวิทยาศาสตร์จากโรงพยาบาลแมสซาชูเซตส์ เจนเนอร์รอล มหาวิทยาลัยมิเนอร์วา และโรงเรียนแพทย์ของมหาวิทยาฮาร์วาร์ด สหรัฐฯ ศึกษาจากคนไข้โควิด-19 จำนวน 130,000 คนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ไวรัสกลายพันธุ์ชนิดต่างๆรวมทั้งเดลตา แพร่ระบาดในสหรัฐฯและทั่วโลก ศึกษาเปรียบเทียบอัตราส่วนการเข้าโรงพยาบาลกับอัตราการเสียชีวิตจากไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ พิมพ์ผลการศึกษาทางเว็บไซต์ รีเสิร์ช สแควร์(Research Square)ระบุว่า ทีมนักวิจัยพบว่า ไวรัสโอไมครอน ซึ่งกลายพันธุ์มาจากไวรัสซาร์ส-โควี-2 หรือ สายพันธุ์เดิมที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 เป็นสายพันธุ์ที่อันตราย ทำให้คนไข้ป่วยหนักพอๆกับไวรัสกลายพันธุ์รุ่นก่อนๆรวมทั้งเดลตา
นับเป็นผลการศึกษาที่แตกต่างจากข้อสันนิษฐานจากการวิจัยครั้งก่อนๆที่ว่า ไวรัสโอไมครอน หรือสายพันธุ์ B ระบาดเร็วกว่าสายพันธุ์ก่อนๆ แต่ไม่ทำให้คนไข้ป่วยหนักกว่าเดิม
ทีมวิจัย ระบุว่า แม้การแพร่ระบาดใหญ่ระลอกก่อนๆในสหรัฐฯในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับช่วงที่พบการระบาดของไวรัสโอไมครอน แต่ทีมวิจัย พบว่า อัตราการเข้าโรงพยาบาลและอัตราการเสียชีวิตจากไวรัสโอไมครอนและจากไวรัสกลายพันธุ์รุ่นก่อนๆอยู่ในอัตราเท่าๆกัน
ก่อนหน้านี้ ผลการศึกษาเกี่ยวกับไวรัสโอไมครอนที่ศึกษาในหลายประเทศ เช่น แอฟริกาใต้ สก็อตแลนด์ อังกฤษ แคนาดา และสหรัฐฯ รวมทั้ง ระบุว่า ไวรัสโอไมครอนไม่อันตราย ไม่ทำให้คนไข้ป่วยหนักยิ่งขึ้น
#สหรัฐฯ
#ผลวิจัยเกี่ยวกับไวรัสโอไมครอน