เกิดเหตุรุนแรงในคืนวันเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส บริเวณสะพานปงต์เนิฟ ย่านใจกลางกรุงปารีส เกิดเหตุรถเก๋งขับมาด้วยความเร็วสูง สวนช่องทางจราจร เกือบชนตำรวจ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ที่ปฎิบัติหน้าที่อยู่ในจุดเกิดเหตุตัดสินใจใช้ปืนยิงเข้าไปในรถ เพื่อป้องกันตัวเอง ทำให้คนในรถเสียชีวิต 2 ราย และ บาดเจ็บ 1 คน ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปลอดภัย
หลังเกิดเหตุ นางเลารี เบ็คเคา พนักงานอัยการประจำกรุงปารีส ลงพื้นที่ ตรวจจุดเกิดเหตุ เมื่อเวลา 01.30 น.ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่ ตำรวจ เริ่มสอบปากคำผู้ที่ได้รับบาดเจ็บถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติงานตามหน้าที่ และอยู่ระหว่างการตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติม
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมง หลังประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง จากพรรค En March! ของฝรั่งเศส ชนะการเลือกตั้งทั่วไปด้วยคะแนนร้อยละ 58.55 มีชัยเหนือนางมารีน เลอแปน ผู้ท้าชิงคู่แข่งจากพรรคฝ่ายขวา National Rally ซึ่งได้คะแนนร้อยละ 41.45 ส่งผลให้นายมาครงวัย 44 ปี ครองตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสในสมัยที่ 2 ได้สำเร็จ
ด้านนายกรัฐมนตรีฌอง กัสเต็กซ์ ของฝรั่งเศส เปิดเผยกับสถานีวิทยุท้องถิ่นของฝรั่งเศสว่า การที่นายมาครง ชนะการเลือกตั้งสมัยที่ 2 เป็นการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้รัฐบาลปัจจุบันเดินหน้าแก้ปัญหาวิกฤติมากมายในสังคมฝรั่งเศสในปัจจุบัน รวมทั้งปัญหาแตกแยกทางสังคม
ขณะเดียวกัน การที่นายมาครง ชนะการเลือกตั้งสมัยที่ 2 เหนือนางเลอแปน ซึ่งมีนโยบายต่อต้านยุโรป ทำให้ผู้นำของกลุ่มสหภาพยุโรปรู้สึกโล่งอก นางอัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ระบุว่า ฝรั่งเศสและยุโรปจะเดินเคียงข้างกันต่อไป
ขณะที่ นางเลอเปน กล่าวกับกลุ่มผู้สนับสนุน ยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบที่ 2 แต่ระบุว่าผลคะแนนที่ออกมาถือเป็นชัยชนะสำหรับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของเธอ และบอกว่าเธอจะไม่ทอดทิ้งชาวฝรั่งเศสผู้รักในเสรีภาพ โดยคะแนนเสียง 41.45% ที่เธอได้รับมาถือเป็นตัวเลขสูงที่สุดในบรรดาการเลือกตั้งประธานาธิบดี 3 ครั้งที่ผ่านมา
#ฝรั่งเศส
#เก๋งเกือบพุ่งชนตำรวจ