นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยเรื่องการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ย่อย BA.2 ยืนยันว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพ ขอให้คนที่ลังเล ทั้งกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ กลุ่ม 608 ไปฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ เพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อสู้กับเชื้อโรค ภูมิคุ้มกันจะขึ้นได้ดี หลังฉีดเข็มสุดท้ายไปแล้วสองสัปดาห์ แม้จะฉีดวันนี้ ไม่ทันสงกรานต์ แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย กระทรวงสาธารณสุข ได้กระจายวัคซีนไปที่รพ.สต.แล้ว จะสะดวกมากขึ้น
-ผู้ที่ได้รับวัคซีน 2 เข็ม ประสิทธิผลในการป้องกันโอไมครอนไม่เพียงพอ การป้องกันๆได้น้อย
-แนะนำให้คนที่ได้รับวัคซีนเพียง 2เข็ม ฉีดวัคซีนบูสเข็มที่ 3 และ เข็มที่ 4 ป้องกันการติดเชื้อได้มากขึ้น โดยเฉพาะการเสียชีวิต และเรื่องปอดอักเสบ
-การระบาดของโอไมครอน สายพันธุ์ BA.2 กระจายมากขึ้น อีกไม่นาน ประมาณ 1-2 สัปดาห์เข้ามาแทนที่ BA.1 สายพันธุ์เดลตา แทบจะไม่มีแล้ว
-ความกังวลว่าสายพันธุ์ BA.2 หลบภูมิได้ดีกว่า BA.1 ข้อมูลระบุว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็ม 2 หรือ เข็ม 3 จะมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโอไมครอน BA.2 สูงกว่า BA.1
-ผู้ที่ได้รับวัคซีน 2 เข็มนานกว่า 1 เดือน ควรได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ BA.2 โดยเฉพาะกลุ่มวัคซีนเชื้อตาย หรือแม้แต่ไวรัลแวกเตอร์ เกิน 1 เดือน
-ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบทุกสูตร 2เข็มแล้ว กระตุ้นเข็มที่ 3 ด้วยวัคซีนไฟเซอร์ หรือ แอสตร้าเซนเนก้า ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้น สามารถลบล้างฤทธิ์ไวรัสโอไมครอน สายพันธุ์ย่อย BA.2 และป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ได้ดีกว่าการได้รับเพียง 2เข็ม
-การฉีดวัคซีนเข็ม 3 จะได้ผลดี ต้องดูระยะเวลาที่เหมาะสมด้วย การฉีดเร็วหรือติดกับเข็ม 2 เช่น ฉีดเข็มสามห่างจากเข็ม 2 เวลา 1 เดือน ผลของการสร้างภูมิเกิดขึ้นได้ไม่ดีเท่ากับการฉีดห่างกัน 3-4 เดือน แต่ก็ต้องพิจารณา บางยี่ห้อภูมิอาจตกลงเร็ว กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงได้นำข้อมูลนี้เสนอให้คณะกรรมการวิชาการพิจารณา อาจเป็นเงื่อนไข 1-3 เดือนหรือไม่ และต้องการให้ภูมิคุ้มกันสูงเร็วขึ้น เป็นต้น
-จะเห็นได้ว่า การฉีดวัคซีนบูสเตอร์ ช่วยป้องกันการแพร่เชื้อและป้องกันการแพร่เชื้อได้ในระดับหนึ่ง คนติดเชื้อไม่มีอาการ หรือมีอาการแต่ไม่หนัก ภูมิในร่างกายจัดการเชื้อโรคไปได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังสามารถแพร่เชื้อและติดเชื้อได้
การศึกษาครั้งนี้สอดคล้องกับของเชียงใหม่ที่ศึกษาแบบเรียลเวิลด์ว่า 2 เข็มช่วยไม่ได้มาก แต่บูสเตอร์จะช่วยป้องกันการติดเชื้อมากขึ้น โดยเฉพาะลดการเสียชีวิต
นอกจากนี้ กรมควบคุมโรค มีข้อมูลตัวเลขจริง เอาคนที่เสียชีวิตต่อล้านคนมาเทียบ พบว่า
*คนไม่ฉีดวัคซีนเสียชีวิตไปที่ 767 รายต่อล้านคน
*ฉีดวัคซีน 1 เข็มเหลือเสียชีวิต 366 รายต่อล้านคน
*เมื่อฉีด 2 เข็ม เหลือ 145 รายต่อล้านคน
*เมื่อฉีดวัคซีนบูสเตอร์เป็น 3 เข็มจะพบเสียชีวิต 25 รายต่อล้านคน หรือเสียชีวิตลดลง 31 เท่า
*ฉีด 4 เข็มยังไม่มีใครเสียชีวิตเลย เพราะตัวเลขฉีดยังน้อยอยู่
ข้อมูลนี้คอนเฟิร์มได้ว่า ใครลังเลหรือรับข้อมูลสร้างความสับสน ทำให้ไม่อยากฉีดวัคซีน กรุณาดูข้อมูลตรงนี้และเลือกว่าจะเสี่ยงอย่างไร ทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริง ตัวเลขไม่ได้โกหกใคร
ด้านนพ.บัลลังก์ อุปพงษ์ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ผลการศึกษาในสหรัฐอเมริกา อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ อาร์เจนตินา ที่รอการตีพิมพ์ เปิดเผยข้อมูล วัคซีนชนิด2เข็มและ3 เข็ม ภูมิต่อโอไมครอนทั้งBA.1และBA.2 พบว่า
-กรณี 2 เข็มภูมิต่อโอไมครอนไม่มากนัก แต่ภูมิต่อBA.2 สูงกว่า BA.1
-กรณีมีการบูสเตอร์ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนเดียวกันหรือต่างชนิด ภูมิต่อโอไมครอนสูงกว่า 2 เข็ม และภูมิต่อBA.2สูงกว่าBA.1 ทุกชนิดวัคซีน สอดคล้องกับการศึกษาของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แสดงว่าโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยBA.1และBA.2 มีความสามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ต่างกัน
ดร.สุภาพร ภูมิอมร ผู้อำนวยการสถาบันชีววัตถุ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า นอกจากการหลบภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันระหว่างBA.1และBA.2 แล้ว ยังพบว่าการเพิ่มจำนวนในหลอดทดลองของBA.2 เร็วกว่าBA.1 ซึ่งอนุภาคไวรัสของBA.2 ใหญ่กว่าBA.1อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การแพร่กระจายของ BA.2 เร็วกว่าBA.1 และขอขอบคุณตัวอย่างอาสาสมัครจากคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลที่ร่วมวิจัยด้วยกัน
#กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
#วัคซีนบูสเตอร์
#ภูมิคุ้มกัน
แฟ้มภาพ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์