นายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง ของสิงคโปร์ แถลงในวันนี้ (24 มี.ค.) ว่า สิงคโปร์จะเพิ่มจำนวนการรวมกลุ่มของประชาชนในสถานที่สาธารณะไม่เกิน 10 คน จากเดิมไม่เกิน 5 คน และอนุญาตให้ประชาชนตัดสินใจเองว่า จะสวมหน้ากากอนามัยนอกอาคารสาธารณะ หรือไม่ก็ได้ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรณรงค์ให้ประชาชนปรับตัวอยู่กับโรคโควิด-19
แต่การสวมหน้ากากอนามัยในอาคารสาธารณะยังเป็นมาตรการบังคับให้ประชาชนปฏิบัติต่อไป เนื่องจากโอกาสที่โรคโควิด-19 จะแพร่ระบาดในอาคารยังคงสูงมาก เมื่อเทียบกับการแพร่ระบาดนอกอาคาร
นอกจากนี้ อนุญาตให้ร้อยละ 75 ของพนักงานทั้งหมดขององค์กรเอกชน ที่ทำงานที่บ้านสามารถไปทำงานในสถานประกอบการได้ ทั้งให้เพิ่มจำนวนผู้เข้าร่วมงานกิจกรรม เช่น งานอีเวนท์ต่างๆในอัตราร้อยละ 75 ของความจุของสถานที่นั้น สำหรับข้อกำหนดการเว้นระยะห่างอย่างต่ำ 1 เมตรจะยังคงใช้บังคับต่อไป
นอกจากนั้น สิงคโปร์จะเริ่มเปิดประเทศ เนื่องจากควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโอไมครอนได้แล้ว นับแต่วันที่ 1 เมษายนนี้เป็นต้นไป นักท่องเที่ยวต่างชาติที่รับวัคซีนครบโดสแล้วสามารถจะเดินทางเข้ามายังสิงคโปร์ทางเครื่องบินหรือทางเรือโดยสารโดยไม่ต้องกักตัว และไม่ต้องตรวจโรคในวันแรกที่เข้าประเทศสิงคโปร์ จะส่งผลดีต่อธุรกิจเอกชน เช่น การท่องเที่ยว ทั้งจะช่วยให้สิงคโปร์กลับมาเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจและการบินของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เหมือนเดิม
สิงคโปร์มีผู้ป่วยสะสม 1.04 ล้านคน เสียชีวิต 1,220 ราย ประชากรส่วนใหญ่จากทั้งหมด 5.9 ล้านคนของสิงคโปร์รับวัคซีนครบโดสแล้ว ทั้งคนที่มีสิทธิ์รับวัคซีนบูสเตอร์ หรือวัคซีนเข็มที่สาม รับวัคซีนบูสเตอร์เกือบทุกคนแล้ว
#สิงคโปร์
#คลายล็อกโควิด