นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงอย่างเป็นทางการที่พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ว่า รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯประณามกองทัพเมียนมาว่า กระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ กรณีปราบปรามชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮิงญาในรัฐยะไข่ทางภาคตะวันตกของเมียนมาในปี 2560
ด้านสว.เจฟฟ์ เมอร์กลีย์ จากพรรคเดโมแครต ในฐานะคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาสหรัฐฯ ชื่นชมรัฐบาลของนายไบเดนที่แสดงจุดยืนเรื่องนี้ว่า การปราบปรามชาวโรฮิงญาเข้าข่ายความผิดฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ แม้ว่าระยะเวลาจะผ่านมานานพอสมควรกว่ารัฐบาลสหรัฐฯตัดสินใจประณามกองทัพเมียนมา
แต่วุฒิสภาสหรัฐฯมองว่าการแถลงเช่นนี้ เป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่จะนำไปสู่การดำเนินคดีตามกฎหมายกับรัฐบาลเมียนมาต่อไป ระบุว่า สหรัฐฯจะต้องแสดงบทบาทนำในเวทีโลก ประกาศให้ชัดเจนว่า การกระทำความผิดร้ายแรงเช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหน จะต้องไม่ปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปตามกาลเวลา โดยไม่มีการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด
ด้านซีเอ็นเอ็น ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯเพิ่งจะแถลงจุดยืนเรื่องนี้ต่อสาธารณะ ขณะที่ องค์กรสิทธิมนุษยชนส่วนใหญ่ของสหรัฐฯประณามรัฐบาลเมียนมามาหลายปีแล้วในเรื่องการปราบปรามชาวโรฮิงญา เช่น การสังหารหมู่และการข่มขืนสตรีชาวโรฮิงญา ทำให้ชาวโรฮิงญาหลายล้านคนหลบหนีจากรัฐยะไข่เข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งบังกลาเทศ ที่ผ่านมา หน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนในสังกัดขององค์การสหประชาชาติ เสนอแนะให้มีการดำเนินคดีตามกฎหมายกับนายทหารระดับสูงในกองทัพเมียนมาเช่นเดียวกัน
ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯเผยแพร่แถลงการณ์ในปี 2561 ว่าการปราบปรามชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่เป็นการใช้ความรุนแรงเกินเหตุ มีเป้าหมายเพื่อสร้างความตื่นตระหนกให้กับชาวโรฮิงญาและเพื่อขับไล่ชาวโรฮิงญาทั้งหมดให้อพยพออกไปจากประเทศ พร้อมทั้งประกาศคว่ำบาตรนายทหารระดับสูงของเมียนมา รวมทั้งพล.อ.อาวุโส มิน อ่องหล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและหัวหน้าคณะรัฐประหารเมียนมา ฐานละเมิดสิทธิมนุษยชนของชนกลุ่มน้อยอย่างร้ายแรง
#สหรัฐฯ
#เมียนมา
#ปราบปรามชาวโรฮิงญา