เริ่มมีความเสียหาย-คนเจ็บ แผ่นดินไหวรุนแรง 7.3 ในญี่ปุ่น

          ความคืบหน้าเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.3 นอกชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น เมื่อคืนนี้ (16 มี.ค.65) เวลา 23.36 น. ตามเวลาท้องถิ่นในประเทศญี่ปุ่น หรือ 21.36 น.ตามเวลาในไทย โดยมีศูนย์กลางในทะเลใกล้ จ.ฟุคุชิมะ ใกล้กับจุดที่เคยเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงเมื่อ 11 ปีก่อน แรงสั่นสะเทือนสัมผัสได้ในพื้นที่ดังกล่าวและจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงกรุงโตเกียว

         กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น (JMA) เปิดเผยว่า มีการแจ้งเตือนการเกิดคลื่นสึนามิสูงราว 1 เมตรในชายฝั่งของ จ.มิยากิและฟุคุชิมะ ขณะที่เจ้าหน้าที่แจ้งให้ประชาชนถอยห่างจากชายฝั่ง มีรายงานว่า เกิดสึนามิขนาดเล็กทางชายฝั่งแปซิฟิกของญี่ปุ่น เหตุแผ่นดินไหวดังกล่าวทำให้กระแสไฟฟ้าดับทางตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ส่งผลกระทบต่อชาวญี่ปุ่นจำนวน 2.2 ล้านครัวเรือน ใน 9 จังหวัด รวมทั้งกรุงโตเกียว ล่าสุด ในกรุงโตเกียว ไฟเริ่มกลับมาใช้ได้แล้ว บริษัท เทปโก เปิดเผยว่า 700,000 ครัวเรือนในจำนวนนี้อยู่ในกรุงโตเกียว และอีก 156,000 ครัวเรือนอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ

         สำนักข่าวต่างประเทศ เริ่มรายงานความเสียหาย ผู้เสียชีวิต 1 ราย ผู้บาดเจ็บประมาณ 69 คน 

         ทันทีที่เกิดเหตุ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ญี่ปุ่น  แจ้งเตือนให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ จ.ฟุคุชิมะ และมิยากิ ระวังคลื่นสึนามิสูงที่ระดับ 1 เมตร ขอให้ประชาชนดูแลรักษาตัวและเฝ้าระวังสถานการณ์โดยติดตามข่าวสารของทางการญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง ในกรณีที่อาจเกิดแผ่นดินไหวตามมา (aftershocks) กรณีฉุกเฉิน สามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ทางหมายเลขโทรศัพท์ HOTLINE 090-4435-7812

        กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยาของไทย รายงานว่า จุดเกิดเหตุมีความลึก 60 กิโลเมตร อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงเทพฯ ประมาณ 4,840 กิโลเมตร เกิดจากแนวมุดตัวระหว่างแผ่นเปลือกโลกอเมริกาเหนือและแผ่นเปลือกโลกแปซิฟิก ไม่ส่งผลกระทบกับประเทศไทย

         ล่าสุด วันนี้ เมื่อเวลา 07.00 น. สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยเพิ่มเติมว่า เมื่อเวลาประมาณ 05.00 น. กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น ได้ประกาศยกเลิกการเตือนให้ระวังคลื่นสึนามิในพื้นที่ จ.ฟุคุชิมะและมิยากิแล้ว

#แผ่นดินไหวญี่ปุ่น

CR:สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น,กรมอุตุนิยมวิทยา,Reuters,The Straits Times