นางแคร์รี ลัม ผู้บริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกง เปิดเผยว่า ฮ่องกงไม่ได้มีโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการออกมาตรการล็อกดาวน์ และไม่มีระบบการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ภาคบังคับที่รวดเร็วเช่นเดียวกับจีนแผ่นดินใหญ่
ก่อนหน้านี้ นางลัม เปิดเผยว่าชาวฮ่องกง 7 ล้าน 4 แสนคน ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อ 3 ครั้งในเดือนมีนาคม แต่ต่อมาได้เลื่อนแผนการนี้ออกไปก่อน ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังเร่งฉีดฉีดวัคซีนให้กับผู้สูงอายุ จนถึงเมื่อวานนี้ (14 มี.ค.) นางลัม ยอมรับว่า แม้จะเพิ่มขีดความสามารถในการตรวจหาเชื้อ แต่ก็ยังสามารถเก็บตัวอย่างเพื่อนำไปตรวจหาเชื้อได้เพียงวันละ 200,000 – 300,000 คนเท่านั้น
ด้านทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮ่องกงประเมินว่า ชาวฮ่องกงประมาณ 3 ล้าน 6 แสนคน อาจติดเชื้อโควิด-19 แล้ว โดยการอ้างอิงจากแบบจำลอง และการที่โควิดสายพันธุ์ไอไมครอนแพร่ระบาดได้สูง ทำให้คาดว่าก่อนที่การแพร่ระบาดจะสิ้นสุดลง จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมอาจสูงถึง 4 ล้าน 5 แสนคน และอาจมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 5,100 ราย
ขณะที่สื่อในประเทศจีนรายงานว่าชาวเมืองเซินเจิ้นจำนวนมากเร่งกักตุนเสบียงอาหารและสิ่งของจำเป็น ขณะที่คนทำงานเก็บอุปกรณ์ต่างๆ กลับไปทำงานที่บ้านเนื่องจากเมืองเซินเจิ้นเริ่มบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่มีความเข้มงวดมากที่สุดตั้งแต่เมื่อวันที่ 13 มีนาคม โดยให้ระงับบริการรถไฟใต้ดินและรถประจำทางทั้งหมด จำกัดการจัดกิจกรรมในชุมชน และตรวจโควิด-19 ทั่วเมือง 3 รอบ ชาวเมืองจำนวนหนึ่งกล่าวโทษว่า สาเหตุเกิดจากการข้ามแดนผิดกฎหมายจากฮ่องกง และเรียกร้องให้ปิดพรมแดน
....
#ฮ่องกง
#โควิด19