มติครม.ลดภาษีสรรพสามิตดีเซล-น้ำมันเตาเหลือ 0 เพื่อผลิตไฟฟ้า

08 มีนาคม 2565, 16:34น.


          นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอมาตรการทางภาษีสรรพสามิตอัตราศูนย์สำหรับการนำน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาไปผลิตกระแสไฟฟ้า เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้า บรรเทาภาระค่าครองชีพให้ประชาชนและฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 


          การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตอัตราศูนย์ สำหรับน้ำมันดีเซล (บี0) และน้ำมันเตาที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า มีระยะเวลา 6 เดือน เริ่มมีผลหลังจากวันที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาจนถึงวันที่ 15 ก.ย.65 แนวทางการลดภาษีสรรพสามิตดังกล่าวจะเป็นการช่วยตรึงค่าไฟฟ้า ส่วนจะอยู่ในรอบบิลเดือนใดขึ้นอยู่กับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน คำนวณค่าไฟฟ้าโดยจะต้องพิจารณาต้นทุนการผลิตไฟฟ้าอีกครั้ง อาจจะขึ้นค่าไฟไม่มากหรือไม่ขึ้นราคาเลย เนื่องจากก่อนหน้านี้ ได้มีการคาดการณ์ค่าไฟในช่วง 4 เดือนข้างหน้าแล้ว


         ส่วนสถานะกองทุนน้ำมันที่ได้อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซหุงต้ม กองทุนน้ำมันได้ขออนุมัติกู้เงิน 30,000 ล้านบาท คาดว่าจะขอกู้เพิ่มในกรอบถึง 40,000 ล้านบาท เพื่อให้มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะพยุงราคา


         นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า การผลิตกระแสไฟฟ้าของไทยกว่าร้อยละ 60 ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ (NG) ซึ่งราคาก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงส่งผลให้ต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นต้องใช้น้ำมันดีเซล (บี0) และน้ำมันเตามาเป็นเชื้อเพลิงทดแทนก๊าซธรรมชาติ ทั้งนี้ ในปัจจุบันน้ำมันดีเซล (บี0) และน้ำมันเตามีภาระภาษีสรรพสามิตอยู่ที่ 3.44 บาทต่อลิตร และ 0.64 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ด้วยเหตุนี้ กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพสามิต เห็นควรใช้มาตรการทางภาษีมาช่วยลดต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนและฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงการระบาดของโควิด-19 


         การจัดเก็บรายได้ หลังจากกระทรวงการคลัง ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลง 3 บาท ทำให้รายได้หายไป 17,000 ล้านบาท แต่ช่วยทำให้ต้นทุนค่าขนส่งลดลง ซึ่งมีส่วนสำคัญในการกำหนดราคาสินค้าในตลาด  ต้องพิจารณาว่าการจัดเก็บปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ อาจจะดูการจัดเก็บในเดือนมี.ค. 65 เนื่องจาก จะมีรายได้จากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเข้ามาเพิ่ม  


         สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น นายอาคม กล่าวว่า ในเบื้องต้น กระทรวงการคลัง หารือร่วมกับ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  เพื่อประเมินภาพรวมเศรษฐกิจและต้องดูเรื่องการท่องเที่ยวด้วย คิดว่าอัตราการเจริญเติบโตน่าจะอยู่ในกรอบที่ได้ประเมินไว้ ที่ร้อยละ 3.5-4.5 กระทรวงการคลัง อยากให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ร้อยละ 4


 


 


#คลัง


#ลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต


#ตรึงค่าไฟ


 


 


CR:สถานีข่าวกระทรวงการคลัง 


 
ข่าวทั้งหมด

X