นายเสธ โจนส์ ประธานศูนย์การศึกษาเชิงยุทธศาสตร์และกิจการระหว่างประเทศ(CSIS) เอ็นจีโอของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า การที่กองทัพยูเครนยืนหยัดสู้รบต่อต้านการบุกของกองทัพรัสเซีย แสดงให้ถึงความเข้มแข็งของยูเครน สร้างความประหลาดใจให้กับนักสังเกตการณ์ส่วนใหญ่ ผู้เชี่ยวด้านการเมืองระหว่างประเทศส่วนใหญ่ เห็นว่า รัสเซียส่งกำลังทหารเพียง 150,000 คนบุกยูเครน ซึ่งมีประชากร 44 ล้านคน เป็นสัดส่วนกำลังทหารที่น้อยมาก คือ มีทหารเฉลี่ย 3.4 คนต่อประชากร 1,000 คนในยูเครน ทำให้รัสเซียไม่สามารถบุกยึดกรุงเคียฟสำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว
นายโจนส์ กล่าวว่า ข้อมูลสงครามในอดีตที่ผ่านมา ชี้ว่า ยิ่งการสู้รบยืดเยื้อนานหลายเดือน รัสเซียจะได้รับความเสียหายมากขึ้นและอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบ ทั้งเสี่ยงต่อการสูญเสียกำลังทหารจำนวนมากในการสู้รบกับยูเครน แม้ว่าในที่สุดรัสเซียจะยึดยูเครนได้สำเร็จ แต่ถ้ายูเครนใช้วิธีสู้รบแบบกองโจรซุ่มโจมตีทหารรัสเซียจะทำให้รัสเซียควบคุมดินแดนได้ลำบากเช่นกัน การใช้กำลังทหารจำนวนน้อยเท่านี้ไม่อาจจะเข้ายึดและรักษาดินแดนของเมืองใหญ่ของยูเครนได้ในระยะยาว เขามองว่าการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ความมั่นคงในสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก มีความสำคัญต่อการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ
การเปรียบเทียบการสู้รบรัสเซีย-ยูเครนในปัจจุบันกับข้อมูลสงครามครั้งก่อนที่เกิดขึ้นทั่วโลก การยึดครองดินแดนที่ประสบผลสำเร็จจะต้องใช้กำลังทหารในสัดส่วนที่สูงกว่านี้ เช่น ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง กองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรเข้ายึดครองเยอรมนีในปี 2488 โดยใช้กำลังทหารเฉลี่ย 89.3 คนต่อประชากร 1,000 คน, กองกำลังสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ(นาโต)ในสงครามบอสเนียใช้กำลังทหารเฉลี่ย 17.5 ต่อประชากร 1,000 คน,นาโตใช้กำลังทหารบุกโคโซโวในปี 2543 ใช้กำลังทหารเฉลี่ย 19.3 คนต่อประชากร 1,000 คน, กองกำลังระหว่างประเทศเข้าไปรักษาสันติภาพในติมอร์ตะวันออกในปี 2543 ใช้กำลังทหารเฉลี่ย 9.8 คนต่อประชากร 1,000 คน
#ยูเครน
#รัสเซียบุกยูเครน