หลังการหารือระหว่างภาคประชาชนและตัวแทนจากกระทรวงพลังงานนานกว่า 2 ชม. โดยมีม.ล. ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นคนกลางในการหารือถึงประเด็นการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 และการแก้กฎหมายปิโตรเลียม ม.ล. ปนัดดา ระบุว่า ที่ประชุมพิจารณาข้อเสนอของภาคประชาชนต่อจากวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2558 โดยภาคประชาชนเสนอใน 3 ประเด็น โดยประเด็นแรกได้เสนอให้ทบทวนการจัดสรรทรัพยากรปิโตรเลียม ทบทวนโครงสร้าง ราคาก๊าซ และน้ำมันสำเร็จรูป รวมไปถึงทบทวนนโยบายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และการแก้ไขปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งจะต้องนำผลประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง หลังพบว่ามีการกำหนดราคาซื้อก๊าซธรรมชาติที่ปากหลุมแพงกว่าราคาตลาดโลก ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตแอลพีจีในประเทศไม่สะท้อนราคาที่แท้จริง เชื่อว่าหากมีการแก้ไขจะทำให้ประชาชนใช้จ่ายถูกมากขึ้น ต่อมาเป็นประเด็นที่ภาคประชาชนเสนอให้แก้ไขกฎหมายทั้งพระราชบัญญัติปิโตรเลียมพ.ศ. 2514 พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และการแก้ไขกฎหมายอื่นๆด้านพลังงานและผลประโยชน์ทับซ้อน
ขณะที่ประเด็นสุดท้ายที่ภาคประชาชนเสนอคือ การมีมาตรการจัดการทรัพยากรปิโตรเลียม การสำรวจผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะชุมชน ซึ่งภาคประชาชนเสนอให้มีการหารือถึงแนวทางการจ้างสำรวจและผลิต และการแบ่งปันผลผลิตเพิ่มเติม นอกจากนี้เสนอให้มีการหารือถึงแนวทางการบริหารจัดการแปลงสัมปทานที่บางแปลงจะหมดอายุในปี 2565 รวมทั้งแปลงสัมปทานที่มีการคืนให้ภาครัฐแล้ว โดยยังต้องหารือถึงพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยด้วย ม.ล. ปนัดดา ระบุว่า ที่ประชุมเห็นตรงกันให้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาอีก 3 ชุด โดยมีผู้แทนฝ่ายละไม่เกิน 10 คนของแต่ละชุดที่ทำงาน ทั้งนี้ยังต้องนำเสนอเรื่องดังกล่าวไปให้นายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานพิจารณาต่อไป ซี่งข้อสรุปนี้ถือเป็นข้อสรุปเบื้องต้นยังต้องรอดูท่าทีของรัฐบาลอีกครั้งว่าจะเป็นไปทางใด ซี่งหากรัฐบาลเห็นชอบด้วยก็จะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาโดยเร็วเพื่อวิเคราะห์ประเด็นต่างๆทันที อย่างไรก็ตามจะมีการนัดหารือกันอีกเป็นระยะเพื่อประสานงานให้รวดเร็วขึ้น วันนี้ส่วนตัวถือว่าการทำงานมีความเป็นไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้นด้าน นาวาอากาศตรีประสงค์ สุ่นศิริ ตัวแทนจากฝั่งประชาชน เปิดเผยว่า การประชุมได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ประเด็นต่างๆที่เรียกร้องทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ จากนี้จะมีการหารือร่วมกันเป็นระยะ และจะนำข้อสรุปต่างๆนำเสนอต่อนายกฯต่อไป
ธีรวัฒน์