*รองนายกฯ เผยธรรมกายยอมคืนเงิน684ล้านให้สกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ศาลนัดไกล่เกลี่ย16 มี.ค.*

06 มีนาคม 2558, 17:51น.


หลังการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินหรือ ปปง.ติดตามความคืบหน้าเรื่องการยักยอกทรัพย์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น และวัดพระธรรมกายที่ทำเนียบรัฐบาลนาย วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย เปิดเผยว่า รู้สึกพอใจในความคืบหน้าของคดี โดยทุกหน่วยงานได้แบ่งหน้าที่กันทำงานเพื่อให้คดีมีความคืบหน้าโดยเร็ว โดยจุดยืนในกรณีนี้คือ การตรวจสอบสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นว่าเป็นอย่างไร ซี่งจะดำเนินคดีตามกฎหมายกับทุกคนหากพบว่ามีการกระทำความผิด โดยได้ให้ทุกหน่วยงานตรวจสอบอย่างละเอียด ขณะนี้พบว่าคดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นมีคดีทั้งทางแพ่งและอาญา โดยอาญาแบ่งออกได้ 3 คดี ในความผิดฐานฉ้อโกงและยักยอกทรัพย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการไปตามกระบวนการทางกฎหมาย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานของพนักงานสอบสวน ยังไม่ถือว่าเป็นคดีทางอาญาเพราะยังไม่มีการฟ้องร้อง ส่วนคดีแพ่ง ก็มีการเรียกเงินคืนจากนาย ศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์ฯและพวกอีก 3 คดีเช่นกัน ซึ่งจะเริ่มพิจารณาคดีในช่วงเดือนเมษายนนี้ ขณะที่คดีของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน วัดพระธรรมกายและพระวัดพระธรรมกายถือเป็นคดีแยกต่างหาก  ซึ่งได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่าในวันที่ 16 มีนาคม 2558  จะมีการเข้าไกล่เกลี่ยที่ศาลแพ่งในส่วนของเงินที่สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนบริจาคให้วัดพระธรรมกายกว่า 684 ล้านบาท ว่าจะมาคืนให้สหกรณ์อย่างไร ทั้งนี้คู่กรณีได้ตกลงกันแล้วว่าจะชดใช้เงินในจำนวนดังกล่าว เพื่อให้สหกรณ์ฯนำเงินคืนสมาชิกรายย่อยต่อไป เชื่อว่าในวันที่ 16 มีนาคม จะมีความชัดเจนเรื่องการชดใช้เงิน



นายวิษณุ ระบุว่า ส่วนคดีอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับพระวัดพระธรรมกายและวัดพระธรรมกายให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งพบว่ามีอีกหลายคดี อย่างไรก็ดี ได้รับรายงานว่าวัดพระธรรมกายได้จัดตั้งกองทุนเพื่อรับบริจาคเงินจากประชาชนเพื่อหาเงินมาคืนให้สหกรณ์แล้ว นาย วิษณุ ยืนยันว่า การดำเนินคดีดังกล่าวไม่ได้ล่าช้า แต่ต้องทำไปตามกระบวนการกฎหมายซึ่งต้องใช้เวลา เพราะคดีมีความซับซ้อนหลายประเด็นขณะที่ความขัดแย้งในวงการสงฆ์ เชื่อว่าน่าจะทำความเข้าใจกันได้ แม้จะได้รับรายงานว่าจะมีการจัดม๊อบพระชนพระก็ตาม ซึ่งตัวเองได้ติดตามความเคลื่อนไหวเป็นระยะ ส่วนการยุบคณะกรรมการปฎิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฎิรูปแห่งชาติ ที่มีนาย ไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธาน ก็น่าจะทำให้สถานการณ์ต่างๆดีขึ้นเช่นกัน ส่วนการออกมาแถลงข่าวของนาย ศุภชัย ในวันนี้ก็ถือเป็นสิ่งที่ทำได้ อย่างไรก็ดีการดำเนินคดีจะต้องว่ากันไปตามหลักฐานพยาน ซี่งเป็นเรื่องที่หน่วยงานต่างๆกำลังดำเนินการอยู่ ส่วนกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ปปช.จะขอต่ออายุการทำงานออกไป 1 ปี เป็นหน้าที่ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่จะพิจารณา นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไม่มีอำนาจตัดสินใจ แต่ตัวเองก็เชื่อว่าคณะกรรมการที่เหลืออีก 4 คนมีความสามารถในการทำงานได้ แต่ก็หวั่นว่าจะส่งผลขณะมีการลงมติซึ่งจะต้องคำนึงถึงความรู้สึกของสังคม



ธีรวัฒน์ 



 

ข่าวทั้งหมด

X