หลายประเทศรวมถึง สหรัฐฯ สหราชอาณาจักรและเยอรมนีออกประกาศให้พลเมืองของตนเดินทางออกจากยูเครน ท่ามกลางคำเตือนจากมหาอำนาจตะวันตกหลายครั้งว่ารัสเซียอาจบุกโจมตี แม้ว่ารัสเซียจะปฏิเสธว่าไม่มีแผนโจมตียูเครนก็ตาม สถานทูตฝรั่งเศสในกรุงเคียฟ เปิดเผยว่า ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ได้โทรศัพท์พูดคุยกับประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียเมื่อวานนี้ (12 ก.พ.) โดยบอกว่า คำกล่าวของผู้นำรัสเซีย ไม่สอดคล้องกับการยกระดับภารกิจทางทหาร
ขณะที่ประธานาธิบดี โวโลดีมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน มีความเห็นว่า การออกคำเตือนเรื่องการบุกรุกและคำสั่งอพยพคือการสร้างความตื่นตระหนก ซึ่งจะเป็นการส่งผลดีต่อฝ่ายศัตรู
อย่างไรก็ตาม ทำเนียบขาว สหรัฐฯ เตือนว่ารัสเซียอาจบุกรุกยูเครนได้ทุกเมื่อ โดยอาจเริ่มต้นด้วยการโจมตีทางอากาศ นอกจากนี้ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ยังได้โทรศัพท์พูดคุยกับประธานาธิบดี ปูติน และกล่าวเตือนอีกครั้งว่ารัสเซียจะต้องชดใช้หากโจมตียูเครน โดยสหรัฐฯ มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ในส่วนงานที่ไม่จำเป็นออกจากสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเคียฟ และระงับการให้บริการด้านกงสุลตั้งแต่วันนี้ (13 ก.พ.) แต่ยังให้เปิดทำการสำนักงานกงสุลในเมืองโอวีฟที่อยู่ทางตะวันตก เพื่อเตรียมพร้อมจัดการกับเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น
แคนาดากำลังย้ายเจ้าหน้าที่สถานทูตไปยังเมืองโอวีฟเช่นกัน
แต่เอกอัครราชทูต เมลินดา ซิมมอนส์ แห่งสหราชอาณาจักร ทวีตว่าเธอและเจ้าหน้าที่ยังคงอยู่ที่กรุงเคียฟ
และสายการบิน KLM ของเนเธอร์แลนด์ประกาศหยุดเที่ยวบินไปยังยูเครน โดยให้มีผลทันที
นอกจากนี้ ออสเตรเลีย อิตาลี อิสราเอล เนเธอร์แลนด์ และญี่ปุ่น ได้แจ้งให้พลเมืองของตนออกจากยูเครน บางประเทศได้อพยพเจ้าหน้าที่ทางการทูตและครอบครัวของพวกเขาออกไปด้วย
...
#สหรัฐอเมริกา
#ยูเครน
#รัสเซีย