นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของแอฟริกาใต้ศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างสายพันธุ์ไวรัสโควิดกับไวรัสเอชไอวีที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ เนื่องจากมีหลักฐานเพิ่มมากขึ้นที่บ่งชี้ว่าการปะทะกันของเชื้อโรคทั้ง 2 ชนิดอาจก่อให้เกิดสายพันธุ์ใหม่ของโคโรนาไวรัส
คณะนักวิทยาศาสตร์จากเครือข่ายจีโนมิกส์แห่งแอฟริกาใต้ (Network for Genomic Surveillance in South Africa : NGS-SA) ซึ่งได้แจ้งเตือนเรื่องการค้นพบโควิดโอไมครอนเป็นครั้งแรก กล่าวว่า จะต้องมีการตรวจสอบอย่างเป็นระบบว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อผู้ติดเชื้อเอชไอวีแล้วไม่ได้รับการรักษาติดเชื้อโควิด ซึ่งอ้างอิงกับผลการศึกษาจำนวนหนึ่ง รวมทั้งงานวิจัยที่มีการตีพิมพ์ ที่พบว่าผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ไม่ได้รับการรักษา หากติดเชื้อโควิดแล้วจะมีการป่วยเรื้อรังเป็นเวลาหลายเดือน
จากอาการป่วยในลักษณะนี้ ไวรัสยังคงอยู่ในร่างกายผู้ป่วย และอาจทำให้เกิดการกลายพันธุ์ แต่ยังมีนักวิทยาศาสตร์บางคนแย้งว่าการกลายพันธุ์เกิดขึ้นในสัตว์แล้วติดต่อกลับมาที่มนุษย์
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสเตลเลนบอช เปิดเผยว่า นักวิจัยในเครือข่ายจีโนมิกส์ฯ เป้าหมายของการศึกษาเชิงลึกในครั้งนี้คือการพิสูจน์ว่าสายพันธุ์ใหม่มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในเงื่อนไขใด และหากเกิดขึ้นกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ไม่ได้รับการรักษา ก็จะต้องมีการทำงานเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาได้รับการวินิจฉัยและการรักษาอย่างทันท่วงที และไม่ต้องการให้มีการตีตราผู้ติดเชื้อ
ด้านกลุ่มรณรงค์สตอปเอดส์ (StopAids) เพิ่มเติมว่า การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการตรวจเอชไอวีทั่วโลก และย้ำว่า การจัดการกับความท้าทายด้านสาธารณสุขทั้ง 2 โรคเป็นเรื่องสำคัญ โดยแอฟริกาใต้มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีมากที่สุดในโลกคือ 8,200,000 คน แต่ผู้ติดเชื้อผู้ใหญ่ร้อยละ 71 และเด็กร้อยละ 45 เท่านั้นที่ได้รับการรักษา
...
#แอฟริกาใต้
#โควิด
#เอดส์