ในโอกาสไปร่วมกิจกรรมวันตรุษจีนที่ย่านการค้าจูร่งพ้อยท์ สิงคโปร์ในวันนี้ นายกรัฐมนตรีลี เซียนลุงของสิงคโปร์ เปิดเผยว่า รัฐบาลสิงคโปร์มั่นใจว่าเศรษฐกิจของประเทศจะเติบโตระหว่างร้อยละ 3-5 ในปีนี้ หลังสิงคโปร์ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเชิงรุก เช่น การเปิดชายแดนและฟื้นธุรกิจการท่องเที่ยวและการบินระหว่างประเทศ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศให้ฟื้นตัวอีกครั้ง หวังว่าจะไม่มีปัจจัยลบที่ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจสะดุดลงในอนาคต
นายลีได้แวะพูดคุยกับบรรดาคนขับรถแท็กซี่และคนขนส่งสินค้าแบบเดลิเวอร์รี่กลุ่มหนึ่งด้วย พร้อมขอบคุณพวกเขาที่ทำงานอย่างหนักมาตลอดระยะเวลา 2 ปีที่โรคโควิด-19 ระบาดในสิงคโปร์ ระบุว่าที่ผ่านมา ธุรกิจร้านอาหารและการท่องเที่ยวของสิงคโปร์ได้รับผลกระทบอย่างหนัก มีรายได้ลดลงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน
นายลีกล่าวถึงเศรษฐกิจโลกว่า เขาคาดว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะเริ่มดีขึ้น โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯค่อนข้างแข็งแกร่ง ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจยุโรปเริ่มมีแนวโน้มเติบโต แม้ว่ายุโรปจะมีอัตราการเติบโตไม่สูงมากในปีนี้
นายลีกล่าวถึงนโยบายลดโรคโควิด-19 ให้เหลือศูนย์ของจีนว่า เป็นอีกปัจจัยหนึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจจีนและทั่วโลกเช่นกัน พร้อมแนะนำให้ทุกคนเฝ้าติดตามเรื่องนี้ต่อไป
เจ้าของร้านขายข้าวมันไก่ ซึ่งเป็นหนึ่งในเมนูประจำชาติของสิงคโปร์เผยว่า เคยขายข้าวมันไก่จานเล็กราคาจานละ 2.20 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 75 บาท) แต่ตอนนี้จำเป็นต้องขึ้นราคา เพราะแบกรับต้นทุนวัตถุดิบที่แพงขึ้นมากมาระยะหนึ่งแล้ว ราคาไก่ปรับขึ้นครึ่งหนึ่ง ส่วนราคาผักแพงขึ้น 2 เท่านับจากเดือนมกราคม 2563 ขณะที่ค่าไฟฟ้าก็ปรับขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้การที่สิงคโปร์ปิดพรมแดนเพื่อสกัดโควิด ยังส่งผลให้ร้านขาดแคลนแรงงานและต้องจ่ายค่าแรงแพงขึ้น
ผู้ร่วมก่อตั้งฟู้ดแบงก์สิงคโปร์ องค์กรการกุศลด้านอาหาร เผยว่า ผู้ต้องการอาหารช่วยเหลือไม่เพียงเป็นกลุ่มคนร้อยละ 10 ที่เป็นคนยากจนที่สุดของสังคม แต่ยังรวมไปถึงกลุ่มคนรายได้ปานกลางที่ได้รับผลกระทบจากโควิด หลายครอบครัวถูกเลิกจ้างทั้งที่เป็นงานที่ไม่เป็นประจำอยู่แล้ว นอกจากอาหาร ทางกลุ่มยังได้รับคำขอสินค้าสุขอนามัยในชีวิตประจำวันเพื่อป้องกันการติดเชื้อ เนื่องจากสินค้าเหล่านี้ปรับราคาสูงขึ้น ภาวะเงินเฟ้อในขณะนี้ดูเหมือนจะยืดเยื้อ และไม่มีใครรู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด
ด้านเอ็นทียูซี แฟร์ไพรซ์ เครือซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ของสิงคโปร์ยืนยันว่า จะไม่ผลักภาระให้ผู้บริโภค และหาทางทำให้สินค้าสำคัญมีราคาทรงตัว ด้วยการคงปริมาณสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันให้เพียงพอต่อการจำหน่าย จัดซื้อสินค้าล่วงหน้า และกระจายแหล่งนำเข้าอาหารไปตามประเทศต่าง ๆ มากกว่า 100 ประเทศ นอกจากนี้ยังมีสินค้าที่ผลิตภายใต้ชื่อตนเอง ซึ่งมีราคาถูกกว่าสินค้ามียี่ห้ออย่างน้อยร้อยละ 10
#สิงคโปร์
#ตรุษจีน