ดร.เบนจามิน ซิลค์ ผู้อำนวยการแผนกเฝ้าระวังและวิเคราะห์ข้อมูลในโครงการวิจัยภูมิคุ้มกันจากวัคซีนของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(CDC)ของสหรัฐฯเผยแพร่ผลการวิจัยเรื่องภูมิคุ้มกันจากวัคซีน ศึกษาจากกลุ่มประชากรคือผู้รับวัคซีนจำนวน 1.1 ล้านคนในรัฐแคลิฟอร์เนียและรัฐนิวยอร์ก ศึกษาตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไวรัสเดลตายังเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดในสหรัฐฯแทนสายพันธุ์อัลฟา
ทีมวิจัยของ CDC พบว่า ภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีน และภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นหลังหายป่วย สามารถป้องกันไวรัสเดลตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ น่าสังเกตว่า อัตราการติดเชื้อไวรัสและการเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่ในอัตราที่สูงที่สุดในประชากรที่ยังไม่รับวัคซีนและไม่เคยติดโควิด-19 มาก่อน
CDC ระบุว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบัน แม้ว่าลักษณะทางระบาดวิทยาในสหรัฐฯจะเปลี่ยนแปลงไป โดยไวรัสโอไมครอนกลายมาเป็นสายพันธุ์หลักแทนไวรัสเดลตา แต่การฉีดวัคซีนยังคงเป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะช่วยป้องกันโรคโควิด-19 จะช่วยให้ทุกคนปลอดภัยจากเชื้อไวรัสในอนาคต ทั้งช่วยลดอัตราการป่วยหนักจนถึงขั้นนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ตลอดถึงผลกระทบสุขภาพในระยะยาวและการเสียชีวิต
ด้านดร.วิลเลียม ชาฟฟ์เนอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อจากศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลต์ ในฐานะที่ปรึกษาของ CDC กล่าวถึงประสิทธิภาพของวัคซีนว่า แม้แต่คนที่หายป่วยแล้ว ซึ่งถือว่ามีภูมิคุ้มกันในระดับหนึ่งแล้ว การไปรับวัคซีนจะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สูงขึ้นกว่าเดิมด้วย
ทั้งนี้ CDC ทำการวิจัยเรื่องนี้ก่อนที่ไวรัสโอไมครอนแพร่ระบาดในสหรัฐฯ และก่อนที่โครงการวัคซีนบูสเตอร์หรือวัคซีนเข็มที่สามจะครอบคลุมทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน CDC จะเผยแพร่ข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องเกี่ยวกับวัคซีน โครงการวัคซีนบูสเตอร์ และข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสโอไมครอนปลายสัปดาห์นี้
ในปัจจุบัน สหรัฐฯ มีผู้ป่วยสะสม 69.8 ล้านคน เสียชีวิต 880,976 ราย
#สหรัฐฯ
#ภูมิคุ้มกันจากวัคซีน