พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ผอ.ศปก.ศบค.) เปิดเผยถึง ประเด็นสำคัญที่จะมีการหารือในวันนี้เพื่อเตรียมเสนอให้ที่ประชุมศบค.วันพรุ่งนี้ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ให้พิจารณาไทม์ไลน์ของแต่ละมาตรการ
-การปรับเงื่อนไขการลงทะเบียนเข้าไทยในรูปแบบ Test & Go เดิมเมื่อตรวจครั้งแรกครั้งเดียวแล้วปล่อยตัวให้ท่องเที่ยวได้ และไม่ได้ควบคุมมาก แต่เมื่อมีเชื้อโอไมครอน เข้ามาจึงต้องยกระดับ ในช่วงระยะ 7 วัน ต้องหาวิธีควบคุมผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศให้ได้ ต้องสามารถติดตามตัวได้ หลัง 7 วันจึงจะถือว่าปลอดภัย โดยสิ่งแรกที่จะต้องทำเมื่อเดินทางเข้ามาคือต้องตรวจคัดกรอง และจะต้องแจ้งว่าจะไปไหนในช่วง 7 วัน จากนั้นจะต้องคุมไว้สังเกตไปไหนจะต้องมีข้อมูลดูได้ว่าอยู่ที่ไหน ซึ่งวันนี้จะหารือถึงมาตรการเพิ่มเติมในส่วนนี้ และกำหนดว่าในวันที่ 5-7 วัน ของการอยู่ในประเทศต้องตรวจ RT-PCT ซ้ำ เมื่อปลอดภัยสามารถเดินทางท่องเที่ยวทั่วประเทศไทยได้ ทั้งนี้ จะอนุญาตให้ผู้ที่ลงทะเบียนในระบบ Test & Go ไว้แล้วยังเข้าประเทศได้ ส่วนที่เหลือระงับการลงทะเบียนไว้ ผู้ที่เข้ามาจึงต้องเพิ่มมาตรการให้ได้รับการตรวจ 2 ครั้ง ถือเป็นการควบคุมที่แน่นหนาขึ้น
-การเพิ่มพื้นที่เป็นแซนด์บ็อกซ์ พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า การเพิ่มจะต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมของพื้นที่นั้นเป็นหลัก ทั้งเรื่องมาตรการสาธารณสุขที่จะรองรับ เนื่องจาก บุคคลที่เข้ามาจะเป็นคนใหม่ที่เข้าประเทศเราต้องควบคุมในช่วงเวลา 7 วันเพื่อให้เกิดความปลอดภัย ดังนั้น ทุกฝ่ายต้องพร้อม ทั้งคนในพื้นที่ และผู้ประกอบการ ขณะนี้เราอยู่ในระยะที่สองของการฟื้นฟูการท่องเที่ยวที่ระงับเอาไว้ ประมาณ 13 พื้นที่ ส่วนจะเปิดได้ครบพื้นที่หรือไม่ จะต้องพิจารณากันก่อน
-กรณีของผับบาร์ที่ขอปรับมาเป็นร้านอาหาร ทั้งกรุงเทพมหานคร และจังหวัด จะต้องเข้าไปสำรวจก่อนวันที่ 15 ม.ค.65 ได้ปรับปรุงอะไรไปบ้างแล้ว พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า ก็จะมีการทยอยเปิดต่อเนื่อง ซึ่งได้มอบหมายให้กรุงเทพมหานครและจังหวัดไปดำเนินการ ดังนั้นผู้ประกอบการที่มีสถานประกอบการในลักษณะผับบาร์คาราโอเกะเต็มรูปแบบต้องเข้าใจว่ายังมีความเสี่ยงมาก หากจะปรับเป็นร้านอาหารต้องทำตามที่เราเปิดช่องให้ คือในรูปแบบร้านอาหาร และต้องแจ้งท้องที่ให้ไปตรวจประเมิน รวมถึงปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขที่กำหนด
-การพิจารณาขยายประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่จะครบกำหนด พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า ต้องต่อพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนเวลา เพราะยังมีความจำเป็นต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในหลายกิจการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ทั้งเรื่องเดินทางเข้าประเทศ การห้ามคน
-กรณีที่ผู้ปกครองบางส่วนเรียกร้องไม่ให้ตรวจ ATK ในเด็กนักเรียน และให้สวมหน้ากากอนามัยได้ตามความสมัครใจ จะน่ากังวลหรือไม่หากเปิดเรียนเต็มรูปแบบ พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ทั่วโลกมีตัวเลขติดเชื้อที่สูงในบางประเทศ แต่ตรงนี้ต้องดูศักยภาพ ชีวิตความเป็นอยู่ และลักษณะสังคม ซึ่งในประเทศไทย ถ้าไม่ช่วยกันใส่หน้ากากอนามัย ฉีดวัคซีน และไม่ช่วยกันตรวจ โอกาสแพร่เชื้อและติดเชื้อจะสูงมาก และจะกระทบระบบสาธารณสุข ถ้าไม่ทำตามมาตรการ ไม่สวมหน้ากากอนามัย หรือไม่ตรวจ ATK หรือไม่กำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อความปลอดภัย ก็จะกระทบระบบสาธารณสุข ทั้งผู้ติดเชื้อ โควิด-19 และคนปกติ กระทรวงศึกษาธิการได้รับมาตรการไปจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้พูดคุยกันหลายรอบ และสถานศึกษาและโรงเรียนในแต่ละพื้นที่ ได้พูดคุยกับผู้ปกครอง หากมีข้อเสนอหรือวิธีการ กระทรวงศึกษาธิการสามารถแจ้งมาที่ ศปก.ศบค. เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณา เพื่อที่จะปรับหรือออกเป็นมาตรการ ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการ สามารถคุมแนวทางและมาตรการในภาพรวมได้อยู่แล้ว
#มาตรการคุมโควิด
#แซนด์บ็อกซ์
แฟ้มภาพ