ดร.อเลจันดรา เกิร์ตมาน นักวิจัยวัคซีนจากบริษัทไฟเซอร์ของสหรัฐฯ กล่าวต่อที่ประชุมของคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการสร้างภูมิคุ้มกัน (ACIP) คณะที่ปรึกษาด้านวัคซีนของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(CDC)ของสหรัฐฯว่า ทีมวิจัยของบริษัทไฟเซอร์ ซึ่งทำวิจัยวัคซีนร่วมกับบริษัทไบโอเอ็นเทคจากเยอรมนี คาดว่าจะทราบผลการทดลองวัคซีนสำหรับกลุ่มเด็กอายุ 2-4 ขวบ ระหว่างปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายนนี้
หลักเกณฑ์เบื้องต้นสำหรับการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ หรือวัคซีนเข็มที่สามให้กับกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ โดยให้รับวัคซีนบูสเตอร์ 8 สัปดาห์ หลังจากรับวัคซีนเข็มที่สอง ส่วนกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี ให้รับวัคซีนบูสเตอร์ 6 เดือนหลังรับวัคซีนเข็มที่สอง
ก่อนหน้านี้ บริษัทไฟเซอร์ระบุในเดือนธันวาคมปีที่แล้วว่า บริษัทได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทดลองวัคซีนใหม่สำหรับเด็กอายุ 2-4 ขวบ หลังข้อมูลเบื้องต้นจากการทดลองทางคลินิก บ่งชี้ว่า เด็กอายุ 2-4 ขวบ ซึ่งได้รับวัคซีนขนาด 3 ไมโครกรัม รวม 2 โดสแล้ว มีภูมิคุ้มกันในร่างกายไม่สูงมาก เมื่อเทียบเด็กอายุมากกว่านี้ เช่น เด็กอายุ 5-11 ปี รับวัคซีนปริมาณ 10 ไมโครกรัม รวม 2 โดส และเด็กอายุ 12 -15 ปี รับวัคซีนปริมาณ 30 ไมโครกรัม รวม 2 โดส ซึ่งผลทดลองทางคลินิกพบว่า มีภูมิคุ้มกันสูงขึ้น ช่วยป้องกันโรคโควิด-19 ในอัตราร้อยละ 90.7
ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ อนุมัติให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์สำหรับเด็กอายุ 5-11 ปีเมื่อวันที่ 29 ตุลาคมปีก่อน ต่อมาเมื่อวานนี้ ACIP เห็นชอบข้อเสนอเรื่องการฉีดวัคซีนบูสเตอร์หรือวัคซีนเข็มกระตุ้นสำหรับเด็กอายุ 12-15 ปี ซึ่ง CDC อยู่ระหว่างพิจารณาเพื่ออนุมัติในขั้นตอนสุดท้ายต่อไป
#สหรัฐฯ
#วัคซีนไฟเซอร์
#เด็กเล็ก