พญ.โรเชลลี วาเลนสกี หัวหน้าศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(CDC)ของสหรัฐฯ พบผู้ป่วยจากไวรัสโอไมครอนมีมากกว่า 650,000 คน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 73.2 ของผู้ป่วยรายใหม่ทั้งหมดในสหรัฐฯ ที่เหลือร้อยละ 26.6 เป็นคนไข้จากไวรัสเดลตา ทำให้ขณะนี้เชื้อไวรัสโอไมครอนกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดอยู่ในสหรัฐฯ นับเป็นการรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยโอไมครอนในสหรัฐฯตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วถึงวันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม
ตัวเลขนี้ สะท้อนว่ายอดผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนเพิ่มขึ้นเกือบ 6 เท่าในช่วงเวลาแค่หนึ่งสัปดาห์ คือ เมื่อเทียบกับตัวเลขในรอบหนึ่งสัปดาห์ที่สิ้นสุดเมื่อวันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม ผู้ป่วยจากสายพันธุ์โอไมครอน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13 ขณะที่คนติดเชื้อเดลตา คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 87 และเมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่สิ้นสุดเมื่อวันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม ที่ครั้งนั้นผู้ติดเชื้อโอไมครอนคิดเป็นเพียงร้อยละ 0.4
CDC พบว่า ในบางท้องที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ เช่น รัฐนิวยอร์ก ตลอดถึงพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ พื้นที่อุตสาหกรรมทางภาคตะวันตกเยื้องไปทางภาคกลาง และภาคตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ ตัวเลขผู้ป่วยจากไวรัสโอไมครอน คิดเป็นสัดส่วนสูงกว่าร้อยละ 95 เมื่อเทียบกับท้องที่อื่นๆทั่วประเทศ
ล่าสุดสำนักงานสาธารณสุขเมืองแฮร์ริส รัฐเท็กซัส ประกาศว่า มีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อกลายพันธุ์โอไมครอนแล้ว 1 ราย เป็นชายวัย 50 ปีเศษที่มีความเสี่ยงสูงจากภาวะแทรกซ้อน เพราะยังไม่ได้ฉีดวัคซีนกับมีโรคประจำตัว เชื่อว่า ชายคนนี้ เป็นผู้เสียชีวิตรายแรกจากเชื้อกลายพันธุ์โอไมครอนในสหรัฐอเมริกา
ด้าน ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐ มีกำหนดแถลงต่อชาวอเมริกันในวันอังคารที่ 21 ธ.ค.ตามเวลาท้องถิ่น แต่โฆษกทำเนียบขาว เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีไบเดน ไม่มีแผนจะล็อกดาวน์ประเทศเพื่อรับมือกับโควิดระลอกใหม่ แต่จะเป็นถ้อยแถลงที่พุ่งตรงไปที่ชาวอเมริกัน ที่ยังไม่ยอมฉีดวัคซีน และแผนงานเพิ่มการเข้าถึงการตรวจเชื้อ
ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลตายังเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในสหรัฐฯ จนถึงปลายเดือนพฤศจิกายน คิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 95.5
#สหรัฐฯ
#ไวรัสโอไมครอน