รายงานใหม่ชื่อหัวข้อว่า เวลาที่สูญเปล่า:ถึงเวลาที่ทั่วโลกร่วมมือกันควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้สำเร็จ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือโรคระบาดใหม่ในอนาคต(Losing Time: End this pandemic and secure the future) :จัดทำโดยอดีตนายกรัฐมนตรีเฮเลน คลาร์ก ของนิวซีแลนด์ และอดีตประธานาธิบดีเอลเลน จอห์นสัน เซอร์ลีฟของไลบีเรีย ซึ่งองค์การอนามัยโลก(WHO)แต่งตั้งเป็นประธานร่วมของคณะกรรมการอิสระที่ศึกษาเรื่องการเตรียมพร้อมในการจัดทำมาตรการป้องกันโรคระบาดใหม่ในอนาคต ระบุว่า ทั่วโลกไม่มีการประสานมือกันอย่างใกล้ชิดให้มากพอที่จะยุติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในอนาคตอันใกล้ ทำให้ทั่วโลกมีความล่าช้าในการเตรียมความพร้อมรับมือกับโรคระบาดใหม่ในอนาคต
รายงานระบุว่า คณะกรรมการอิสระของ WHO มีความเห็นว่า ปัจจัยหลักๆที่ทำให้ทั่วโลกมีปัญหาความล่าช้าในการสกัดการแพร่ระบาดคือ ทั่วโลกทำงานแบบต่างฝ่ายต่างทำงาน ไม่มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีคนเสียชีวิตเพิ่มอีก 1.65 ล้านรายในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่ได้รับมอบวัคซีนในปริมาณที่น้อย หรือไม่สามารถจัดหาวัคซีน ขณะที่ประเทศร่ำรวยส่วนใหญ่มีความคืบหน้าเรื่องโครงการกระจายวัคซีนมาจนถึงขั้นเริ่มต้นโครงการวัคซีนบูสเตอร์หรือการฉีดวัคซีนเข็มที่สามให้กับประชาชน หลังจากกว่าร้อยละ 67 ของประชากรในประเทศร่ำรวยรับวัคซีนครบโดสแล้ว ส่วนประเทศยากจน ต่ำกว่าร้อยละ 5 ของประชากรเพิ่งรับวัคซีนเข็มแรก
คณะกรรมการอิสระยังได้วิพากษ์วิจารณ์อุตสาหกรรมยาว่า บริษัทยา ซึ่งมีเป้าหมายหลัก คือ การทำกำไร มองคนทั่วโลกไม่ต่างกับตัวประกันในกำมือ ทั้งเตือนรัฐบาลทั่วโลกว่า การทำงานโดยไม่มีการบูรณาการแผนควบคุมโรคไปในทิศทางเดียวกันยิ่งทำให้การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ในปัจจุบันยืดเยื้ออีกหลายปี ทั้งจะทำให้หน่วยงานสาธารณสุขทั่วโลกไม่อยู่ในสภาพเตรียมพร้อมรับมือกับโรคระบาดใหม่ในอนาคต WHO ตั้งเป้าให้ทุกประเทศทั่วโลกฉีดวัคซีนร้อยละ 40 ของประชากรภายในปลายปีนี้ และร้อยละ 70 ภายใน 6 เดือนแรกของปีหน้า
#องค์การอนามัยโลก
#แผนรับมือโรคระบาดใหม่ในอนาคต