นายซิคเว่ เบรกเก้ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มเทเลนอร์ กล่าวถึงความร่วมมือระหว่างเทเลนอร์ และเครือซีพีในครั้งนี้ว่า เป็นการเตรียมความพร้อมสำเร็จความท้าทายที่จะเกิดขึ้นในช่วง 20 ปีข้างหน้า เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบ และพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแล้ว เมื่อเทคโนโลยีทั้ง 5G AI IoT และ Cloud ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการทำธุรกิจ ทำให้เวทีการแข่งขันของประเทศไทยไม่ใช่อยู่ในระดับท้องถิ่นอีกต่อไป แต่เป็นการแข่งขันในระดับภูมิภาค และระดับโลก ดังนั้นจึงมั่นใจว่าการตั้งบริษัทใหม่ร่วมกันในครั้งนี้ จะช่วยพาประเทศไทยไปแข่งขันในเวทีระดับโลกได้
ดังนั้น การตั้งองค์กรที่มีความเป็นเลิศทางเทคโนโลยี และโทรคมนาคม เพื่อเป็นแรงผลักดันสร้างนวัตกรรมด้านดิจิทัลของประเทศไทย จะเป็นการลงทุนระหว่างเครือซีพี และเทเลนอร์ ภายใต้ความร่วมมืออย่างเท่าเทียม (Merger of Equals) ซึ่งหลังจากตั้งบริษัทแล้วจะทำให้ธุรกิจสามารถสร้างรายได้ราว 2.17 แสนล้านบาท คิดเป็นกำไรก่อนหักค่าใช้จ่าย 8.3 หมื่นล้านบาท และมีส่วนแบ่งทางการตลาด ต่ำกว่า 40%
“เมื่อดูถึงรายได้ในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ และบรอดแบนด์แล้ว เอไอเอส ยังคงเป็นผู้ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงที่สุด และเป็นพี่ใหญ่ให้ทั้ง 2 บริษัทนี้เช่นเดิม”
นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานกรรมการ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างกลุ่มเทเลนอร์ และเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นการผนึกกำลังที่เป็นวิถีใหม่ของการดำเนินเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการแข่งขันในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค จนถึงระดับมหาอำนาจของโลก เพื่อทรานฟอร์มประเทศให้มีเทคโนโลยีเพื่อนำไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
โดยในวันนี้ (22 พ.ย. 2564) เวลา 13.00 น. นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ดีแทค ได้เดินทางมาชี้แจงที่สำนักงานกสทช.ว่า ขณะนี้การดำเนินการอยู่ระหว่างระดับบน คือ เทเลนอร์ และซีพี ดังนั้นจึงยังไม่เกี่ยวข้องกับกสทช. ส่วนระดับกลางซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในกลางปี 2565 นั้น เป็นระดับของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ ดีแทค ซึ่งยังไม่มีการเจรจากันถึงระดับล่างในบริษัทผู้ที่ได้รับใบอนุญาตจากกสทช.คือบริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด (ดีทีเอ็น)และ บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (ทียูซี) จึงยังไม่เข้าเงื่อนไข กฎเกณฑ์ หรือ ประกาศของ กสทช. แต่อย่างใด
นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกสทช. กล่าวว่า แม้ว่าสำนักงานกสทช.มีการชี้แจงว่าไม่สามารถห้ามการควบรวมของทรูฯและดีแทคได้ เพราะไม่ได้เป็นบริษัทผู้รับใบอนุญาต แต่ทั้งสองบริษัทคือบริษัทแม่และเป็นผู้ถือหุ้นของทั้งดีทีเอ็นและทียูซี ดังนั้นกสทช.ต้องดูและมีการกำหนดเงื่อนไขการให้บริการไม่ให้มีอำนาจเหนือตลาดหรือเอาเปรียบผู้บริโภค ซึ่งตามระเบียบแล้วทั้ง 2 บริษัทต้องแจ้งให้กสทช.ทราบก่อนการควบบริษัท 90 วัน และสำนักงานกสทช.แจ้งว่ากสทช.ไม่สามารถยับยั้งการควบบริษัทได้ ซึ่งตนเองก็ยังคาใจว่ากฎหมายเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ซึ่งต้องขอดูในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนกรณี ดีแทคให้เหตุผลว่าเรื่องนี้ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าสุดท้ายแล้วดีทีเอ็นและทียูซีจะควบบริษัทเป็นบริษัทเดียวกันหรือไม่ หากจะมีความชัดเจนก็คงครึ่งหลังของปี 2565 เพราะตอนนี้อยู่ในขั้นตอนแรกระหว่างซีพีและเทเลนอร์ ซึ่งเขาบอกว่าจะใช้เวลาในการตรวจสอบทรัพย์สินกันให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรก ปี 2565 จากนั้นจึงเป็นลำดับขั้นของการรวมทรูกับดีแทคเป็นบริษัทเดียว และมีบริษัทใหม่ขึ้นมา ซึ่งก็ต้องใช้เวลาดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายอีกประมาณ 6 เดือน ในการแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย,แจ้งกระทรวงพาณิชย์
กรณี บริษัทลูกอย่างดีทีเอ็นและทียูซียังมีแบรนด์ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือให้บริการอยู่ในมุมผู้บริโภคก็อาจจะไม่รู้สึกอะไร หากแต่จะมีบริษัทแม่เป็นบริษัทเดียวกัน แต่หากลงมาถึงระดับล่างทั้งดีทีเอ็นและทียูซี รวมเป็นบริษัทเดียวในมุมผู้บริโภคจะมีตัวเลือกในการใช้บริการน้อยลง ซึ่ง กสทช.ต้องกำกับดูแลและวางเงื่อนไขในการให้บริการไม่ให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบ
#ทรูดีแทค
#ต่อสู้ระบบดิจิทัล