ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ หรือซีดีซี รายงานว่า จนถึงเช้าวันเสาร์ (21 พ.ย.) ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับประชาชนในประเทศไปแล้ว 449,955,588 โดส และแจกจ่ายวัคซีนออกไปแล้ว 567,081,775 โดส พร้อมเตรียมฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้กับชาวอเมริกันทุกคนที่มีอายุมากกว่า 18 ปี ตามที่ผู้เชี่ยวชาญของซีดีซีมีการอนุมัติเมื่อวันศุกร์ (19 พ.ย.) เพื่อหยุดการแพร่ระบาดที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นหลังการการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงวันหยุด
การอนุมัติของซีดีซี ยังเป็นไปตามคำมั่นของประธานาธิบดี โจ ไบเดน เมื่อเดือนสิงหาคมที่ต้องการให้วัคซีนเข็มกระตุ้นแก่ผู้ใหญ่ทุกคน ซึ่งซีดีซี ระบุว่า ชาวอเมริกันที่อายุมากกว่า 50 ปี รวมทั้งผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปซึ่งมีสุขภาพอ่อนแอ ควรได้รับวัคซีนของไฟเซอร์หรือโมเดอร์นาเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น ส่วนผู้ที่มีอายุมากกว่า 18 ปีคนอื่น ๆ ให้อยู่ในการวินิจฉัยของแพทย์ว่าควรได้รับวัคซีนหรือไม่
ผู้รับวัคซีนชนิดเข็มเดียวของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน สามารถฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นหลังจากที่ฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้วอย่างน้อย 2 เดือน
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญของโครงการวัคซีนในสหรัฐฯและหลายพื้นที่ของยุโรป ยังเกิดจากการเผยแพร่ข้อมูลเท็จผ่านสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึงการอ้างถึงคำกล่าวของ ดร.ไมเคิล ยีบอน อดีตรองประธานของไฟเซอร์ ซึ่งมีการกดไลค์และส่งต่อข้อความของเขาออกไปอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะข้อความที่ระบุว่า เด็กมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากวัคซีนโควิด-19 มากกว่าการเสียชีวิตจากโควิดถึง 50 เท่า และมีการแนะนำว่าจะเป็นการดีกว่าที่จะไม่พาเด็กๆ ไปรับวัคซีน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นเท็จ
ดร.ยีบอน ทำงานกับไฟเซอร์นาน 16 ปีและลาออกไปเมื่อปี 2554 ตั้งแต่นั้นมา เขากลายเป็นแหล่งข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิด-19 และคำกล่าวไม่เห็นด้วยกับการฉีดวัคซีนให้เด็ก เกิดขึ้นในระหว่างการสัมภาษณ์เมื่อเดือนมิถุนายนให้กับนายสตีฟ แบนนอน ซึ่งเคยเป็นนักยุทธศาสตร์ของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์
สาธารณสุขสหรัฐฯยืนยันว่า มีข้อมูลการทดลองทางคลินิกแสดงให้เห็นว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตในเด็ก แต่เป็นการป้องกันการเจ็บป่วยที่รุนแรง และผู้เชี่ยวชาญย้ำว่าผลประโยชน์ของวัคซีนมีมากกว่าความเสี่ยง
....
#สหรัฐอเมริกา
#วัคซีนบูสเตอร์