ทำลายตัวเอง! นักวิจัยญี่ปุ่น ระบุ เดลตาระบาดลดลง เพราะกระบวนการกลายพันธุ์บกพร่อง

          เว็บไซต์หนังสือพิมพ์เจแปนไทม์ของญี่ปุ่น รายงานบทวิเคราะห์สาเหตุที่ในตอนแรกเชื้อไวรัสเดลตา ซึ่งเป็นสาเหตุการระบาดใหญ่ระลอกที่ 5 ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในญี่ปุ่นในเดือนสิงหาคม มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ปรากฏว่าเชื้อไวรัสเดลตาค่อยลดการระบาดอย่างรวดเร็วในระยะหลังๆมานี้ มีผู้ป่วยลดลง ซึ่งนักวิจัยกลุ่มหนึ่งของญี่ปุ่น มีคำตอบที่สร้างความประหลาดใจให้กับหลายคนว่า สาเหตุที่เชื้อไวรัสเดลตาลดการแพร่ระบาดในญี่ปุ่นอย่างรวดเร็วอาจจะเป็นเพราะเชื้อไวรัสทำลายตัวเอง(self-extinction)

          นับตั้งแต่ญี่ปุ่น พบผู้ป่วยเดลตารายแรกเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ในช่วง 3 เดือนต่อมา เป็นช่วงที่เชื้อไวรัสเดลตาแพร่ระบาดทั่วประเทศญี่ปุ่น ตัวเลขผู้ป่วยใหม่เฉลี่ยเกือบ 26,000 คนต่อวัน แต่ในระยะหลังๆมานี้ ตัวเลขผู้ป่วยใหม่ร่วงลงมาเหลือ 200 คน อีกทั้งไม่มีผู้เสียชีวิตเลยเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน นับเป็นเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ไม่พบผู้เสียชีวิต

          ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขของญี่ปุ่น ชี้สาเหตุแนวโน้มการระบาดลดลงของเชื้อไวรัสเดลตาว่า เกิดจากหลายปัจจัย รวมถึงการตั้งข้อสังเกตของ ศ.อิทูโระ อิโนเอะ (Ituro Inoue) ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันพันธุกรรมวิทยาของญี่ปุ่น ระบุว่า เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของเชื้อไวรัสเอง ในระยะฟักตัวของเชื้อไวรัส ซึ่งโดยเฉลี่ยจะมีการกลายพันธุ์สองครั้งต่อเดือน  ซึ่งการกลายพันธุ์บ่อยครั้งเช่นนี้อาจจะเกิดความผิดพลาด เช่น สร้างโปรตีนที่ไม่สามารถแพร่เชื้อไวรัสได้อีกต่อไป แม้ว่าเชื้อไวรัสพยายามจะเร่งแก้ไขความบกพร่องผิดพลาดที่เกิดขึ้นในกระบวนการกลายพันธุ์ แต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งนำไปสู่การทำลายตัวเอง(self-extinction)ในที่สุด

          นอกจากนั้น การควบคุมการแพร่ระบาดได้มาจากการฉีดวัคซีนในอัตราที่สูงของญี่ปุ่น ในปัจจุบัน ร้อยละ 75.7 ของประชากร 125 ล้านคนของญี่ปุ่นรับวัคซีนครบโดสแล้ว นับว่าอยู่ในอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศ ขณะที่ นักวิชาการบางคน ระบุว่า เกิดจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและการสวมหน้ากากอนามัยซึ่งแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของชาวญี่ปุ่นไปแล้วในขณะนี้

           ปัจจุบัน ญี่ปุ่นมีผู้ป่วยสะสม 1.7 ล้านคน เสียชีวิต 18,331 ราย

#ญี่ปุ่น

#เชื้อไวรัสเดลตาอาจทำลายตนเอง