คณะกรรมการของกระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่นอนุมัติให้ใช้วัคซีนของป้องกันโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ เป็นเข็มกระตุ้นสำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โดยให้เริ่มฉีดวัคซีนได้ตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นไป ตามที่มีผลการศึกษาวิจัยว่า ระดับของภูมิคุ้มกันโรคระบบทางเดินหายใจจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไปในทุกกลุ่มอายุ และประสิทธิภาพของวัคซีนจะคงอยู่ประมาณ 6 เดือน หลังจากการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2
และในเดือนมกราคมปีหน้า จะเริ่มฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้แก่เจ้าหน้าที่สาธารณสุข
จากนั้นในเดือนมีนาคม จะเริ่มให้บริการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในสถานที่ทำงาน
แต่ให้งดเว้นการฉีดเข็มกระตุ้นในกลุ่มผู้ที่มีอายุระหว่าง 12 ถึง 17 ปี เนื่องจากไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีน อย่างไรก็ตาม จะพิจารณาให้มีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นหากได้รับรายงานยืนยันความปลอดภัยจากประเทศอื่นๆ
ทั้งนี้ ไฟเซอร์ รายงานผลการศึกษาทางคลินิกที่พบว่า วัคซีนเข็มที่ 3 จะเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันอีก 3.3 เท่าของระดับหลังฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 นอกจากนี้ ยังพบว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพร้อยละ 95.6 ในการป้องกันการเกิดอาการ เมื่อฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นประมาณ 11 เดือนหลังจากเข็มที่ 2
ผลการศึกษาวิจัยในสหรัฐฯ พบว่าประสิทธิภาพของวัคซีนไฟเซอร์ในผู้ที่มีอายุระหว่าง 16 ถึง 44 ปี ลดลงจากร้อยละ 89 ภายใน 1 เดือนหลังจากได้รับยาครั้งที่ 2 เหลือร้อยละ 39 ใน 5 เดือนต่อมา
ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลงจากร้อยละ 87 เป็นร้อยละ 50 ในผู้ที่มีอายุระหว่าง 45-64 ปี และจากร้อยละ 80 เหลือร้อยละ 43 ในผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
และเพื่อความมั่นคงของการจัดหาวัคซีน ญี่ปุ่นได้ลงนามในสัญญาสั่งซื้อวัคซีนอีก 120 ล้านโดสจากไฟเซอร์ และอีก 50 ล้านโดสจากโมเดอร์นา ซึ่งจะทยอยจัดส่งตั้งแต่ต้นปี 2565 และยังมีวัคซีน 150 ล้านโดสที่พัฒนาโดยบริษัทโนวาแวกซ์ ของสหรัฐฯ ที่จะเริ่มจัดส่งตั้งแต่ต้นปี 2565
....
#ญี่ปุ่น
#วัคซีนโควิด
#วัคซีนบูสเตอร์