*มหาเถรสมาคม ตัดสินชี้ขาด พระธัมมชโย ไม่ปาราชิก*

20 กุมภาพันธ์ 2558, 17:08น.


ภายหลังการประชุมมหาเถรสมาคม ที่พุทธมณฑล เพื่อพิจารณาวาระเรื่อง การหารือมติของมหาเถรสมาคมเมื่อปี2549 ในกรณีที่มหาเถรสมาคม มีมติว่าพระธัมมชโย หรือ พระเทพญาณมหามุณี  เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ไม่อาบัติปาราชิก  และมีการคืนสมณศักดิ์ พระพรหมเมธี กรรมการมหาเถรสมาคม โฆษกมหาเถรสมาคม  เปิดเผยว่า  ที่ประชุมได้รับทราบเรื่องดังกล่าวและยืนยันว่ามติเมื่อปี2549ถูกต้องแล้ว  โดยเมื่อปี2542  กรณีพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก มีพระลิขิตให้พระธัมมชโย ต้องอาบัติปาราชิก เนื่องจากยักยอกทรัพย์ของวัดพระธรรมกาย  และมหาเถรสมาคมสมัยนั้น ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และดำเนินการให้เป็นไปตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก  แต่เมื่อมีโจทย์ 2คน คือ นายสมพร เทพสิทธา และนายมานพ พรไพลิน ฟ้องร้องพระธัมมชโย ต่อศาล  และต่อมานายมานพ ถอนฟ้อง เนื่องจากพระธัมมชโย ได้ดำเนินการตามพระลิขิต และยอมคืนทรัพย์สินแก่วัดพระธรรมกายมูลค่ากว่า 900ล้านบาท  ก็ทำให้อัยการได้ยกฟ้องในคดีดังกล่าว   ทั้งนี้มหาเถรสมาคมจึงเห็นว่า พระธัมมชโย ไม่มีเจตตนาขัดพระลิขิต และและไม่มีเจตนาฉ้อโกง จึงถือว่าพ้นมนทิน และในปี2549 จึงมีมติคืนสมณศักดิ์ให้กับพระธัมมชโย  และมีการเลื่อนสมศักดิ์ เป็นพระเทพญาณมหามุณีในปี2554   อย่างไรก็ตาม พระพรหมเมธี อธิบายว่า หลักการพิจารณาทางสงฆ์ว่าความผิดยักยอกทรัพย์สำเร็จหรือไม่ จะดูที่เจตนาเป็นหลัก ซึ่งในกรณีนี้ มีที่มาของทรัพย์สินถูกต้อง โดยมาจากพุทธศาสนิกชน และเมื่อมีพระลิขิตก็ได้มีการทยอยคืนทรัพย์สินซึ่งปฏิบัติโดยการทยอยคืนทรัพย์สินแก่วัดทันที จึงไม่มีเจตนาฉ้อโกง นอกจากนี้พระพรหมเมธี  ยังกล่าวว่า เรื่องดังกล่าวผ่านมากว่า 17ปี ซึ่งขณะนี้ประเทศอยู่ในการสร้างความปรองดอง อีกทั้งเป็นยุคที่ล่อแหลมต่อสื่อ และประเทศไทยถูกจับต่อมองจากต่างชาติ เพราะการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงไม่อยากให้นำเรื่องเก่ามาพูดถึง



วิรวินท์



 

ข่าวทั้งหมด

X