ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ หรือ ซีดีซี ปรับคำแนะนำ โดยระบุว่า ผู้ที่มีภาวะสุขภาพบางอย่างที่ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่องในระดับปานกลางหรือรุนแรงอาจต้องได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิด mRNA เข็มที่ 4 โดยให้ฉีดหลังจากที่รับวัคซีนเข็มที่ 3 แล้วอย่างน้อย 6 เดือน และจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนว่าควรต้องรับวัคซีนเข็มที่ 4 หรือไม่
เมื่อเดือนสิงหาคม ซีดีซี อนุญาตให้ใช้วัคซีนเข็มที่ 3 สำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องซึ่งมีอายุ 18 ปีขึ้นไป เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เนื่องจาก ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจไม่มีการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่สมบูรณ์หลังฉีดวัคซีนครบ 2 โดสแรก และมีผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว ยังมีแนวโน้มที่จะมีอาการป่วยหนักต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตมากกว่า 485 เท่า เมื่อเทียบกับบุคคลทั่วไปที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว และมักจะแพร่เชื้อโควิด-19 ไปยังผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับพวกเขา
ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาหรือเอฟดีเอ อนุญาตให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม และอาจรวมถึงภูมิคุ้มกันบกพร่องด้วย
สำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องในระดับปานกลางถึงรุนแรง ได้แก่ ผู้ที่อยู่ในการรักษามะเร็งในเลือดหรือเนื้องอก การปลูกถ่ายอวัยวะและผู้รับสเต็มเซลล์ ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีระยะลุกลามหรือไม่ได้รับการรักษา และผู้ที่รับประทานคอร์ติโคสเตียรอยด์ขนาดสูงหรือยาอื่นๆ ที่ อาจไปกดภูมิคุ้มกัน ซึ่งซีดีซี คาดว่าจะมีประชาชนประมาณ 9 ล้านคน หรือร้อยละ 2 ของประชากรที่อยู่ในกลุ่มนี้
ในส่วนของผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ได้รับวัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ที่เป็นวัคซีนชนิดเข็มเดียว ควรได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นอย่างน้อย 2 เดือนหลังจากวัคซีนเข็มแรก
และผู้ที่รับวัคซีน 2 เข็มแรกเป็น mRNA ชนิดอื่นใด แล้วเลือกวัคซีนของโมเดอร์นาเป็นเข็มกระตุ้น ให้รับวัคซีนโมเดอร์นาในปริมาณครึ่งโดสเท่านั้น
นอกจากนี้ ซีดีซี ยังแนะนำให้ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหลีกเลี่ยงฝูงชนและพื้นที่ที่มีการระบายอากาศไม่ดี และควรสวมหน้ากากเมื่ออยู่ในสถานที่สาธารณะ
...
#สหรัฐอเมริกา
#วัคซีนบูสเตอร์
#บูสเตอร์เข็มที่4