ไอเอ็มเอฟเตือนปัญหาห่วงโซ่อุปทานชะลอการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลก

13 ตุลาคม 2564, 10:22น.


          กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ เตือนว่าการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกกำลังผลักดันให้สินค้าต่างๆ มีราคาสูงขึ้นและส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ฉบับล่าสุด ระบุว่า ผลกระทบอย่างต่อเนื่อง จากการระบาดใหญ่และความล้มเหลวในการกระจายวัคซีนอย่างเท่าเทียมกันทั่วโลก ทำให้เศรษฐกิจโลกเลวร้ายลงและมีโอกาสที่เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาจะย่ำแย่ลงไปอีก โดยคาดว่า เศรษฐกิจโลกในปีนี้ จะเติบโตที่ร้อยละ 5.9 ซึ่งลดลงจากคาดการณ์ที่มีการรายงานไว้ในเดือนกรกฎาคมเพียงเล็กน้อย และคาดว่าจะชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 4.9 ในปี 2565



          คาดว่าการเติบโตของสหรัฐจะชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 5.2 ในปีหน้า โดยยังมีความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและมีปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคงานบริการ



          นางกีตา กอปิแนช หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟ กล่าวในระหว่างการประชุมประจำปีของไอเอ็มเอฟและธนาคารโลก ว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจในปีนี้มีความแตกต่าง โดยประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ อาทิ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี และญี่ปุ่น ได้รับผลกระทบจากปัญหาคอขวดของห่วงโซ่อุปทาน และยังมีปัญหาขาดแคลนแรงงาน ขณะที่ราคาพลังงานเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปี โดยราคาน้ำมันอยู่เหนือ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่งผลกระทบต่อภาคครัวเรือน แต่หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ไอเอ็มเอฟ คาดว่า ราคาพลังงานจะเริ่มปรับลดลงภายในสิ้นไตรมาสแรกของปี 2565



          ในประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้ต่ำ แนวโน้มเศรษฐกิจยิ่งเลวร้ายลงไปอีก เนื่องจากการกระจายวัคซีนที่ไม่เท่าเทียมกัน ส่งผลให้สถานการณ์ของโรคระบาดยืดเยื้อ และส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงการฟื้นฟูมาตรฐานการครองชีพ ดังนั้นนโยบายที่สำคัญที่สุดคือต้องฉีดวัคซีนให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 40 ของประชากรในทุกประเทศภายในสิ้นปี 2564 และร้อยละ 70 ภายในกลางปี 2565



....



#ไอเอ็มเอฟ



#สหรัฐอเมริกา



#แนวโน้มเศรษฐกิจโลก



 

ข่าวทั้งหมด

X