สปสช.จ่ายไม่เกิน 400,000 บาทเยียวยานักเรียนเกิดผลข้างเคียงหลังฉีดวัคซีนโควิด

06 ตุลาคม 2564, 11:18น.


          ตามที่รัฐบาลมีนโยบายฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับเด็กนักเรียน อายุ 12 ปีขึ้นไป โดยมีเป้าหมาย 5,048,000 รายทั่วประเทศ โดยเริ่มต้นฉีดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2564 เป็นวันแรก โดยเป็นวัคซีนชนิด mRNA ผลิตโดย บริษัท ไฟเซอร์ ร่วมกับ บริษัท ไบโอเอ็นเทค เพื่อเป็นการให้วัคซีนครอบคลุมประชากรทุกกลุ่มอายุ ที่สามารถรับการฉีดวัคซีนได้ ลดอัตราการป่วยรุนแรง และเสียชีวิต รวมทั้ง สร้างภูมิคุ้มกันให้กับประเทศได้



          นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่าจากข้อมูลระบบการรายงานอาการไม่พึงประสงค์ จากการได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของ CDC ประเทศสหรัฐอเมริกา แม้ว่าจะมีรายงานผลข้างเคียงการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ หลังจากการฉีดวัคซีนชนิด mRNA แต่ด้วยจำนวนผู้ที่เกิดผลข้างเคียงนี้ มีไม่มาก และประโยชน์ที่ได้รับจากฉีดวัคซีนมีมากกว่า ทางองค์การอนามัยโลก รวมถึงราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ยังคงแนะนำให้เด็กนักเรียนตามช่วงอายุที่กำหนด เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 หากเกิดผลข้างเคียงจะต้องได้รับการดูแล และช่วยเหลือโดยเร็ว โดยหลักการจ่ายเงินเยียวยาเบื้องต้นแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของ สปสช.นั้น ไม่ไช่การพิสูจน์ถูกผิด หรือชี้ชัดว่าเป็นผลที่เกิดจากการฉีดวัคซีนแต่อย่างใด แต่เป็นเงินเยียวยา เพื่อลดผลกระทบที่เกิดแก่ประชาชนเมื่อมีอาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น



          หากเกิดอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีดวัคซีนโควิด-19 ตามแผนงานโครงการที่รัฐจัดให้ฟรี สามารถยื่นเรื่องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ที่ โรงพยาบาลที่ฉีด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) หรือที่สำนักงาน สปสช.สาขาเขตพื้นที่ทั้ง 13 เขต โดยมีระยะเวลายื่นคำร้องได้ภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ทราบความเสียหาย เมื่อมีผู้มายื่นคำร้องแล้ว คณะอนุกรรมการฯ ระดับเขตพื้นที่จะเร่งพิจารณาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งในกรณีที่ผู้ยื่นคำร้องไม่เห็นด้วยกับผลการวินิจฉัย ก็มีสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อเลขาธิการ สปสช.ได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ทราบผลการวินิจฉัย



          หลักเกณฑ์การพิจารณาจ่ายเงินเยียวยาเบื้องต้น จะแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ



ระดับ 1 มีอาการป่วยต้องรักษาต่อเนื่อง จ่ายไม่เกิน 100,000 บาท



ระดับ 2 เกิดความเสียหายถึงขั้นสูญเสียอวัยวะ หรือพิการจนมีผลต่อการดำรงชีวิต จ่ายไม่เกิน 240,000 บาท



ระดับ 3 กรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวร จ่ายไม่เกิน 400,000 บาท



          สอบถามเพิ่มเติม สายด่วน สปสช. 1330 ดาวน์โหลดแบบคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น กรณีได้รับความเสียหายจากการรับวัคซีนป้องกันโควิดได้ที่ https://www.nhso.go.th/



          เพื่อเฝ้าระวัง และไม่ประมาท คณะทำงานจัดทำแนวทำงานวินิจฉัย และรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบภายหลังการได้รับวัคซีน mRNA ซึ่งประกอบด้วยสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย และกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้จัดทำคำแนะนำ การวินิจฉัยและรักษาภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบที่เกิดภายหลังการได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ (Guideline for diagnosis and management of myocarditis and pericarditis after COVID-19 mRNA vaccination) ฉบับวันที่ 1 ตุลาคม 2564



           ในคำแนะนำได้ระบุถึงอาการภาวะไม่พึงประสงค์ที่สังเกต คือ มีอาการเจ็บหน้าอก หายใจไม่สะดวก รู้สึกเหนื่อย หายใจแล้วรู้สึกเจ็บหน้าอก ใจสั่น เป็นลมหมดสติ ผู้ป่วยบางราย อาจมีอาการปวดจุกแน่นท้องบริเวณด้านขวาบน หรือลิ้นปี่ ซึ่งเป็นผลจาก hepatic congestion พบได้ในภาวะ right-sided heart failure ในบางราย อาจมีคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ และตรวจพบค่าโปรตีนโทรโปนิน (troponin) มีระดับสูงขึ้น ทั้งนี้ อาการแสดงเหล่านี้มักเกิดเร็วหลังได้รับวัคซีน เฉลี่ยจะแสดงอาการในวันที่ 3-7 หลังจากได้รับวัคซีน ซึ่งหน่วยบริการทั่วประเทศที่ให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในกลุ่มนักเรียน สามารถใช้แนวทางนี้ในการสังเกตอาการเด็กนักเรียนหลังจากฉีดวัคซีนไปแล้วได้





...



#วัคซีนโควิด



#วัคซีนเด็ก



#อาการไม่พึงประสงค์



#สปสช

ข่าวทั้งหมด

X