หุ้นไฟเซอร์-โมเดอร์นาร่วงต่อเนื่อง หลังเมอร์คผลิตยารักษาโควิด-19 ได้ผล

04 ตุลาคม 2564, 21:13น.


         ราคาหุ้นของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ และโมเดอร์นา อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 ยังคงร่วงลงในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดหุ้นวอลล์สตรีทวันนี้ ต่อเนื่องจากที่ดิ่งลงในวันศุกร์ หลังมีการเปิดเผยประสิทธิภาพของยาโมลนูพิราเวียร์ (molnupiravir) ในการรักษาโรคโควิด-19 นายไมเคิล ยี ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพของบริษัทเจฟเฟอรีส์ กล่าวว่า การร่วงลงของราคาหุ้นบริษัทไฟเซอร์และโมเดอร์นา เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนจะกลัวโควิด-19 น้อยลง และจะลดความต้องการฉีดวัคซีน เนื่องจากมียาเม็ดที่กินได้ง่ายเพื่อรักษาโรคโควิด-19



          ส่วนนายอาเมช อาดาลจา นักวิชาการอาวุโสจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์กล่าวว่า "ยาเม็ดที่ใช้รับประทานซึ่งสามารถลดความเสี่ยงอย่างมากในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลถือเป็นตัวพลิกเกมเลยทีเดียว เนื่องจากวิธีการรักษาโรคโควิด-19 ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันถือว่าสร้างความยุ่งยากให้แก่แพทย์อย่างมาก ซึ่งการมียากินรักษาแบบง่ายๆจะช่วยได้มาก"



          การร่วงลงของราคาหุ้นไฟเซอร์และโมเดอร์นา สวนทางการพุ่งขึ้นของราคาหุ้นเมอร์ค ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ หลังบริษัทแถลงว่า ทางบริษัทเตรียมยื่นเรื่องต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) เพื่อขออนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ในกรณีฉุกเฉิน หลังการทดลองทางคลินิกได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจ



          ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าบริษัทเมอร์คจะมีรายได้มหาศาลจากการจำหน่ายยาโมลนูพิราเวียร์ที่กำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลกในขณะนี้ แม้ว่าขณะนี้ยาโมลนูพิราเวียร์ยังไม่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) แต่หลายประเทศทั่วโลกก็ได้เริ่มเจรจาเพื่อสั่งซื้อยาโมลนูพิราเวียร์จากเมอร์คแล้ว



          หากได้รับการอนุมัติจาก FDA ยาโมลนูพิราเวียร์จะเป็นยาเม็ดต้านโควิด-19 ชนิดแรกที่ได้รับการอนุมัติในสหรัฐ โดยสหรัฐยังไม่ได้ให้การอนุมัติการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งเป็นยาเม็ดต้านโควิด-19 เช่นกัน แม้ว่ายาฟาวิพิราเวียร์ได้รับการรับรองจากบางประเทศแล้ว



          ด้านสหรัฐได้สั่งซื้อยาโมลนูพิราเวียร์จำนวน 1.7 ล้านคอร์ส หรือ 68 ล้านเม็ด วงเงิน 1,200 ล้านดอลลาร์ เฉลี่ยราคาคอร์สละ 700 ดอลลาร์ หรือราว 23,000 บาท โดยมีราคาราวเม็ดละ 600 บาท



          ทั้งนี้ ยา 1 คอร์สประกอบด้วยยาโมลนูพิราเวียร์ขนาด 200 มิลลิกรัม จำนวน 40 เม็ดสำหรับผู้ป่วย 1 คน โดยผู้ป่วยจะรับประทานยาวันละ 2 ครั้งๆละ 4 เม็ด เป็นเวลา 5 วัน



          เมอร์คได้เริ่มผลิตยาโมลนูพิราเวียร์แล้ว โดยคาดว่าจะสามารถผลิตได้ 10 ล้านคอร์สภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายยาดังกล่าวสูงถึง 7,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 2.4 แสนล้านบาท ถึงแม้ยาโมลนูพิราเวียร์มีราคาแพงกว่ายาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งเป็นยาเม็ดรักษาโรคโควิด-19 ที่มีการใช้กันในหลายประเทศ แต่ยาโมลนูพิราเวียร์ก็มีราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับยาของบริษัท Regeneron ซึ่งมีราคาโดสละ 1,250 ดอลลาร์ ขณะที่ยาของบริษัท GlaxoSmithKline มีราคาโดสละ 2,100 ดอลลาร์



          นอกจากนี้ ยาโมลนูพิราเวียร์ยังมีความสะดวกต่อการรักษาโรคโควิด-19 ซึ่งผู้ป่วยสามารถรับประทานยาเองที่บ้าน เมื่อเทียบกับการรักษาในปัจจุบันที่ต้องฉีดยาเข้าสู่หลอดเลือดดำของผู้ป่วย



          ผลการทดลองในระยะที่ 3 พบว่า ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ได้รับยาโมลนูพิราเวียร์จำนวนเพียง 7.3% ที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลภายในเวลา 29 วัน และไม่มีผู้เสียชีวิต ขณะที่ผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกจำนวน 14.1% ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลภายในเวลา 29 วัน และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 8 ราย



          อาสาสมัครที่เข้าร่วมการทดลองทั้งหมด 775 คนได้รับการยืนยันว่าเป็นผู้ป่วยโควิด-19 ที่แสดงอาการ และถูกสุ่มให้ยาโมลนูพิราเวียร์หรือยาหลอกภายในเวลา 5 วันจากที่เริ่มมีอาการ ผู้เข้าร่วมการทดลองทุกคนยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 มาก่อน และแต่ละคนมีปัจจัยหนึ่งอย่างที่ทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดอาการรุนแรงจากโรคโควิด-19 ซึ่งได้แก่ โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และการมีอายุมากกว่า 60 ปีผลการศึกษาพบว่ายาโมลนูพิราเวียร์จะมีประสิทธิภาพมากที่สุด หากผู้ป่วยได้รับยาในช่วงแรกของการติดเชื้อ



#ยารักษาโควิด19



 

ข่าวทั้งหมด

X