ดร.จอห์น เอ็นเคกาซอง หัวหน้าศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งแอฟริกา (Africa CDC) กล่าวเตือนว่านโยบายของสหราชอาณาจักรที่จะไม่อนุญาตให้ชาวแอฟริกันที่รับวัคซีนครบแล้วเดินทางเข้าประเทศ ส่งผลให้เกิดความสับสน ลังเลใจที่จะเข้ารับวัคซีน ส่งผลกระทบต่อการรณรงค์ฉีดวัคซีนในทวีปแอฟริกา เมื่อประชาชนจำนวนมากตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงต้องฉีดวัคซีนที่ไม่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล นอกจากนี้ยังมีความไม่พอใจและเห็นว่าเป็นนโยบายเลือกปฏิบัติ
ขณะที่อินเดียก็มีความไม่พอใจนโยบายของสหราชอาณาจักรเช่นกัน เนื่องจากเป็นผู้ผลิตวัคซีนสูตรของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ที่มีการจำหน่ายในเอเชีย แอฟริกาและลาตินอเมริกา
ด้าน ดร.ริชาร์ด มิฮิโก ผู้แทนองค์การอนามัยโลก ประจำภูมิภาคแอฟริกา กล่าวว่า ประเทศต่างๆ ควรหาวิธีสร้างระบบร่วมกัน เพื่อรับรองวัคซีนให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้ถอดหลายประเทศออกจาก "บัญชีแดง" ซึ่งกำหนดให้ต้องกักกันเมื่อเดินทางเข้าอังกฤษ แต่ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบแล้วจากหลายประเทศนอกสหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา ยังคงต้องกักกันโรค เนื่องจากสหราชอาณาจักรไม่ยอมรับใบรับรองการฉีดวัคซีน โดยประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดความไม่พอใจคือการไม่ยอมรับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในอินเดีย แม้ว่าจะเป็นสูตรเดียวกับวัคซีนที่ผลิตในยุโรป และหลายประเทศให้การรับรองก็ตาม
ส่วนประเทศอื่นๆ ในสหราชอาณาจักร ได้แก่ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ ต่างกำหนดนโยบายด้านสุขภาพของตนเอง
มีชาวแอฟริกันน้อยกว่าร้อยละ 4 ของทั้งทวีปที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบถ้วนแล้ว ขณะที่สหรัฐฯ มีผู้รับการฉีดวัคซีนครบแล้วประมาณร้อยละ 54 และในสหราชอาณาจักรร้อยละ 65
หลายประเทศในแอฟริกามีปัญหาขาดแคลนวัคซีน แต่ในบางประเทศ เช่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกและแอฟริกาใต้ มีปัญหาประชาชนไม่ต้องการเข้ารับการฉีดวัคซีน และรัฐบาลต้องใช้มาตรการจูงใจให้ไปรับวัคซีน
...
#สหราชอาณาจักร
#แอฟริกา
#วัคซีนโควิด