แม้ว่าในไทยจะยังไม่พบการติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ มิว (Mu) หรือ รหัสพันธุกรรม B.1.621แต่ไทยก็ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หลังจากที่ องค์การอนามัยโลก (WHO) ยกระดับให้เป็นสายพันธุ์ที่เฝ้าระวังตัวที่ 5
ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ยังไม่มีหลักฐานทางคลินิกที่ชี้ว่าจะรุนแรงกว่าสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน แต่รหัสพันธุกรรม ชี้ว่า อาจจะหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ จึงต้องรีบศึกษาทดลองในห้องปฏิบัติการ แต่ไม่ได้หมายความว่าในร่างกายมนุษย์จริงๆจะเป็นเช่นนั้น บ่อยครั้งที่เรากังวลใจทำให้เกิดการเฝ้าระวังเป็นสิ่งที่ดี เช่น สายพันธุ์เบตาที่ระบาดใน จ.นราธิวาส เมื่อศึกษาพบการแพร่ระบาดไม่ได้เพิ่มจำนวนมากเท่าเดลตาหรืออัลฟา กระทรวงสาธารณสุขควบคุมได้
การเฝ้าระวังสายพันธุ์ มิว สำหรับประเทศไทย คงต้องเข้มงวดระบบการเฝ้าระวังคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศทั้งในสถานกักตัวของผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและในโครงการแซนด์บ็อกซ์
ด้าน WHO ออกแถลงการณ์สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ มิว ว่า หลังจากเมื่อเดือน ม.ค.64 พบครั้งแรกในประเทศโคลอมเบีย ภูมิภาคอเมริกาใต้ พบการติดเชื้อแล้ว 39 ประเทศ ทั้งในภูมิภาคอเมริกาใต้ ยุโรป แอฟริกา จนถึงอังกฤษ สหรัฐฯ ฮ่องกง
เบื้องต้น ตรวจสอบพบตัวกลายพันธุ์ มิว มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับตัวกลายพันธุ์เบตา (จากแอฟริกาใต้) ทั้งนี้ โควิด-19 ตัวกลายพันธุ์ที่อยู่ระหว่างการจับตา มีอยู่ 5 ตัว คือ
-เอตา (พบครั้งแรกในอังกฤษ ไนจีเรีย)
-ไอโอตา (สหรัฐฯ)
-แคปปา (อินเดีย)
-แลมบ์ดา (เปรู)
-มิว (โคลอมเบีย)
ขณะที่ ตัวกลายพันธุ์ที่น่าวิตกกังวล (VOC) มีอยู่ 4 ตัว คือ
-อัลฟา (อังกฤษ)
-เบตา (แอฟริกาใต้)
-แกมมา (บราซิล)
-เดลตา (อินเดีย)
#โควิด19สายพันธุ์มิว
#สถานที่กักตัว
#แซนด์บ็อกซ์
แฟ้มภาพ