วันนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เพื่อตรวจเยี่ยมระบบการดูแลและติดตามผู้ป่วยโควิด-19 ใน Home Isolation และการพัฒนาวัคซีน ChulaCov19 และตรวจเยี่ยมการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด -19 โดยเซลล์พืชเป็นแหล่งผลิต (วัคซีนใบยา)ในประเทศไทย ที่ใช้ใบยาสูบซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบบโปรตีนซับยูนิต
หลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมระบบการดูแลและติดตามผู้ป่วยโควิด-19 ใน Home Isolation และ การวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทย ของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย พล.อ.ประยุทธ์ แถลงว่า วันนี้มาตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม อว. และมหาวิทยาลัยในกำกับดูแล แก้ไขปัญหาโควิด-19 ในภาพรวม ซึ่งมีหลายภาคส่วนทั้งโรงพยาบาลภาครัฐ ภาคเอกชน และวันนี้มาให้ความสำคัญแนวทางการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเสริมระบบ Home Isolation ซึ่งตนได้เห็นความพึงพอใจของผู้ป่วยที่ได้มีการติดต่อเชื่อมโยงประจำวัน ตรวจสอบ และสอบถามอาการด้วยวาจาทางโทรศัพท์ และระบบออนไลน์ ทำให้สามารถทราบความเปลี่ยนแปลงของอาการในแต่ละวัน ทั้งนี้เพื่อลดปัญหาและภาระที่จะเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลที่มีความแออัดในขณะนี้
นอกจากนี้เป็นการมาให้กำลังใจคณะแพทย์ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตวัคซีนของไทย mRNA จากใบยามีความก้าวหน้ามากในขณะนี้ ซึ่งรัฐบาลให้ความสนใจในเรื่องนี้และได้ให้แนวทางปฏิบัติมาตลอด ซึ่งจากการรับฟังฝ่ายปฏิบัติทราบว่าประมาณเดือน ก.ย.นี้ จะมีความคืบหน้าในระดับหนึ่งในการทดสอบกับมนุษย์ ซึ่งก็ต้องดำเนินการต่อไป และระหว่างนั้นก็ต้องมีการปรับปรุงไปเรื่อยๆ ถ้าทำได้ปีหน้าเราก็น่าจะมีวัคซีนของเราเอง เหมือนเช่นประเทศอื่นเขาทำกัน อันนี้เป็นความหวังของเรา กระตนก็เชื่อมั่นว่าเราต้องทำได้ เราไม่เคยน้อยหน้ากว่าใครในเรื่องนี้ และเราก็เดินหน้ามาตลอด
จากการคุยกับคณะหมอสิ่งสำคัญต้องดูว่าสถานการณ์ช่วงล็อกดาวน์เป็นอย่างไร คงไม่ถึงกับทุกกิจกรรม แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า บางกิจกรรมที่เปิดคนก็ไม่กล้ามากัน เพราะกลัวจะติดเชื้ออะไรทำนองนี้ เราก็ต้องดูแลตัวเองกันให้ดี ในส่วนที่รัฐบาลจะต้องดูแลก็จะทำให้ดีที่สุด สถานการณ์วันนี้ แม้แต่ในโลกสถานการณ์ก็ยังมีปัญหาเยอะพอสมควร
นายกรัฐมนตรีย้ำว่า สถานการณ์วัคซีนก็เยอะแต่เราไม่ท้อแท้หรอก เราจะร่วมมือกันแก้ปัญหาให้ได้โดยเร็วที่สุด ขอบคุณบุคลากรทุกคน ทั้งในส่วนของรัฐบาล กระทรวง รัฐมนตรี และรองนายกฯทุกท่าน รัฐบาลต้องมองไปข้างหน้า หลายวันที่ผ่านมาผมอาจจะไม่ได้ออกมาพบสื่อ เพราะผมก็ต้องแก้ปัญหาอย่างอื่นไปด้วย ไม่ได้แก้ปัญหาโควิคอย่างเดียว ยังมีปัญหาเศรษฐกิจต่างๆ ผมก็ต้องมีสมาธิในการทำงาน และวันนี้ก็อยากมาดูความก้าวหน้า และรับเรื่องที่ต้องการให้สนับสนุนในระยะต่อไป วันนี้กำลังให้พิจารณาอยู่ว่า หลังวันที่ 31 สิงหาคมนี้ ขึ้นอยู่กับตัวเลขและผลการทำงาน ว่าจะไปได้อย่างไร เพียงแต่ขอความร่วมมือจากประชาชนนั่นก็คือในเรื่องของใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ และอย่าไปทำกิจกรรมอะไรที่เขาไม่ให้ทำ มันเป็นภาระที่ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องมาเสียแรงเสียเวลา และมีโอกาสติดเชื้อไปที่อื่น
เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามถามถึงชัดเจนเกี่ยวกับข้อสั่งการในการจัดซื้อชุดตรวจATK ที่มีข้อมูลไม่ตรงกัน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขอให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ชี้แจง
ด้านความคืบหน้าการจัดทำวัคซีนChulaCov19 คณะผู้วิจัย ระบุว่าวัคซีน ChulaCov19 สามารถกระตุ้นภูมิได้เทียบเท่าวัคซีนไฟเซอร์ และสามารถยับยั้งสายพันธุ์ดั้งเดิมได้ถึง 4 สายพันธุ์ และขณะนี้เตรียมพัฒนาวัคซีนรุ่น 2ไว้แล้ว โดยจะใช้เวลาในการผลิต 6 เดือน ดังนั้นไม่ว่าจะระบาดรอบไหน ไทยก็จะสามารถรับมือได้ ครั้งนี้ทดสอบแล้วว่าวัคซีนสามารถเก็บไว้ได้ 3 เดือน ในอุณหภูมิ -2 ถึง – 8 องศา แต่หากอยู่ในอุณหภูมิห้อง เก็บได้ถึง 2 สัปดาห์ เมื่อเทียบกับวัคซีนไฟเซอร์ที่สามารถเก็บได้เพียง 28 วัน
ขณะนี้ไทยมีวัคซีน 4 วัคซีน วัคซีนไทยได้ทำอย่างไรที่จะได้ทำให้วัคซีนไทยนั้นได้รับรองและสามารถใช้ได้จริงก่อนสงกรานต์ปีหน้า ซึ่งต้องมีกองทุนอย่างน้อย 3,000 ล้าน ต่อ 1 วัคซีน และบริหารข้ามระบบราชการ และต้องให้มีความชัดเจนในเดือนก.ย.นี้ เพื่อนำไปสู่การผลิตแต่หากกติกาไม่ชัดเจน ไม่มีทางว่าไทยจะมีวัคซีนใช้ได้เอง พร้อมระบุว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับนโยบายขององค์การอาหารและยา หรือ อย. หากทำเหมือนไต้หวัน ใช้อาสาสมัคร 4,000-5,000 คน และใช้วัคซีนคู่เทียบ
#จุฬาลงกรณ์
#Chulacov19
#วัคซีนใบยา