วัคซีนฝีมือคนไทย Chula-Cov19-ใบยา- HXP-GPOVac เดินหน้าทดลองในคน
การวิจัยวัคซีนสายพันธุ์ไทย สู้กับวิกฤตโควิด-19 ของหลายหน่วยงาน มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง
วัคซีน Chula-Cov19
วัคซีนชนิด mRNA จากความร่วมมือของศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับ ศ.ดรูว์ เวสแมน จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐฯ ภายในเดือนนี้ จะทดลองในคนระยะที่ 2 ตั้งเป้าทดลองกับอาสาสมัครจำนวน 150-300 คน และทดลองกับคนกลุ่มใหญ่ต่อไป ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน วัคซีน Chula-Cov19 จะเริ่มฉีดให้คนไทยได้ในช่วงเดือน มี.ค. - เม.ย.65
ย้อนกลับไประยะเวลาการทดลองในสัตว์ทดลอง (หนูและลิง) 15 เดือน พบว่า การทดลองในหนูมีประสิทธิภาพกระตุ้นภูมิคุ้มกันสูงมาก เมื่อทดสอบในลิง ซึ่งมีความใกล้เคียงมนุษย์ ผลทดลองก็ยังอยู่ในระดับน่าพอใจ
เมื่อเดือน มิ.ย.64 ทีมนักวิจัยได้ทดลองฉีดวัคซีนให้กลุ่มควบคุมจำนวน 72 คน เพื่อหาปริมาณโดสวัคซีนที่เหมาะสมที่สุด โดยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่และ 3 กลุ่มย่อย
- กลุ่มแรก อาสาสมัครที่มีอายุ 18-55 ปี จำนวน 36 คน
- กลุ่มที่สอง อาสาสมัครที่มีอายุ 65-75 ปี จำนวน 36 คน
- ในทั้งสองกลุ่มข้างต้นจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยที่ฉีดวัคซีน 10 ไมโครกรัม, 25 ไมโครกรัม และ 50 ไมโครกรัม ผลทดลอง 10 ไมโครกรัม ไม่มีผลข้างเคียง
วัคซีนใบยา
ทีมวิจัยจาก บริษัทใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด นำโดย ภญ.ดร.สุธีรา เตชคุณวุฒิ และ รศ.ดร.วรัญญู พูลเจริญ จากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นชนิดโปรตีนซับยูนิต เช่นเดียวกับ วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ไข้หวัดใหญ่ อีโบลา รวมถึงวัคซีน Novavax
ในเดือนนี้ เตรียมทดลองในคนครั้งแรก รับอาสาสมัครที่มีอายุระหว่าง 18-59 ปี สุขภาพแข็งแรง และไม่เคยได้รับวัคซีนโควิด จำนวน 50 คน และเริ่มทดลองเดือนก.ย.64 อาสาสมัครจะได้รับวัคซีนจำนวน 2 เข็ม ระยะห่างกัน 3 สัปดาห์
จากนั้นจะทดสอบวัคซีนกับอาสาสมัครกลุ่มอายุ 60–75 ปีต่อไป และเชื่อว่าจะเริ่มใช้ในไทยได้ราวกลางปี 65 ในราคาโดสละไม่เกิน 500 บาท
ทีมผู้วิจัยกำลังทดลองวัคซีนใบยารุ่น 2 สำหรับรับมือกับโควิด-19 กลายพันธุ์ โดยจะเริ่มมีการทดลองในคนตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป
ในระยะทดลองกับสัตว์ทดลอง (หนูขาวและลิง) ตั้งแต่เดือนก.พ.64 พบว่า สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ในระดับน่าพอใจ ในลิงไม่เกิดผลข้างเคียงใดๆ
HXP-GPOVac
เป็นวัคซีนที่ใช้เชื้อตายผลิต จากความร่วมมือระหว่างคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล และองค์การเภสัชกรรมของไทย
เดือนมี.ค. 64 ผู้วิจัยเริ่มทดลองเฟส 1 ในอาสาสมัครจำนวน 210 คน ที่มีอายุระหว่าง 18-59 ปี แบ่งอาสาสมัครออกเป็น 6 กลุ่มที่ได้รับวัคซีนในปริมาณที่แตกต่างกัน
เดือนนี้ ทีมผู้วิจัย เตรียมทดลองเฟส 2 โดยจะเลือกวัคซีนสองสูตร จากการทดลองในเฟส 1 แล้วลองฉีดในอาสาสมัครจำนวน 250 คน เพื่อทดลองในเฟส 3 ในอาสาสมัครจำนวน 4,000-10,000 คน
คาดการณ์ว่าวัคซีน HXP-GPOVac จะสามารถฉีดให้กับคนไทยได้ภายในเดือนเม.ย.65 โดยจะมีกำลังผลิตที่ 25-30 ล้านโดส/ ปี
CR:ศูนย์ข้อมูล COVID-19 จ.สมุทรสาคร
หลายจังหวัด ต่อยอด ‘นครปฐม โมเดล’ พลังท้องถิ่น ต้านภัยโควิด-19
หลายจังหวัด ได้ต่อยอดนำ “นครปฐมโมเดล” มาใช้เป็นแนวทางควบคุมการระบาดของโควิด-19 เช่น 4 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วย จ.นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ หรือ “นครชัยบุรินทร์” และ 5 จังหวัดของ โครงการพัฒนาศักยภาพทีมเลขานุการคณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (กขป.) เขต 10ประกอบด้วย จ.อุบลราชธานี ศรีสะเกษ ยโสธร มุกดาหาร และอำนาจเจริญ ได้นำโมเดลดังกล่าวไปต่อยอดแล้ว
นครปฐม โมเดล เป็นโมเดลระดับพื้นที่ที่เกิดรูปธรรมจับต้องได้ โดยทั้งหมดเกิดขึ้นจากการสานพลังคนนครปฐมเข้ามาร่วมคิด-ร่วมจัดระบบ เริ่มตั้งแต่นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการ จ.นครปฐม องค์การบริหารส่วนจังหวัด ส่วนราชการ ภาคประชาสังคม สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มหาวิทยาลัยราชภัฏ และองค์กรภาคส่วนประชาสังคม ร่วมกันวางแผน 4 ประเด็นสำคัญที่แต่ละจังหวัดสามารถประยุกต์ใช้ได้ ได้แก่
1. การตั้งศูนย์ประสานงานภาคประชาชนสู้ภัยโควิด-19 ประจำจังหวัด ทำหน้าที่เป็นศูนย์ประสานงานและทำงานร่วมกับภาครัฐ ซึ่ง จ.นครราชสีมา ได้ดำเนินการแล้ว
2. การจัดตั้งกองทุนเพื่อระดมปัจจัยสนับสนุน ซึ่งมีตัวอย่างจาก “กองทุนลมหายใจ” ของ จ.นครปฐม
3. การบริหารสิ่งสนับสนุนทั้งทางการแพทย์และทางสังคมเข้าไปสู่ Home Isolation (HI) และ Community Isolation (CI) ในชุมชนพื้นที่
4. ระบบบริการสาธารณสุขในพื้นที่เป็นพี่เลี้ยงในการพัฒนา HI และ CI
นพ.ปรีดา แต้อารักษ์ รองเลขาธิการ สช. กล่าวว่า โมเดลที่เกิดขึ้นจากนครปฐม คือการวาง CI ใหญ่ของจังหวัดที่อาจมี 1-2 แห่งเป็นแบ็คอัพ แต่พื้นที่สมรภูมิแนวหน้าคือระดับตำบล ที่จะต้องยันเอาไว้ให้อยู่ เพื่อรอวันที่กำลังเสริม คือ วัคซีน และปฏิบัติการจากจังหวัดนี้ที่ตื่นก่อน ก็จะส่งผลให้มีจังหวัดอื่นที่ลุกขึ้นตามมา เป็นการสานพลังอย่างมากของท้องถิ่น ที่จะช่วยซับปัญหาการระบาดในทุกจังหวัดได้
CR:สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ,ศูนย์ข้อมูลCOVID-19
แรงงานในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม พบติดเชื้อมากที่สุด
การติดเชื้อในสถานประกอบการ พญ.หรรษา รักษาคม ผู้อำนวยการกองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า จากข้อมูลการเฝ้าระวังของกองโรคจากการประกอบอาชีพฯ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.–8 ส.ค. 64 พบว่ามีผู้ติดเชื้อในสถานประกอบการ 5 อันดับแรก ได้แก่
-กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ 25.82
-กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ร้อยละ 15.24
-กลุ่มก่อสร้าง ร้อยละ 14.08
-กลุ่มผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก ร้อยละ 8.26
-กลุ่มการขายส่ง/ขายปลีก ร้อยละ 6.61
จึงต้องเร่งดำเนินการป้องกันและควบคุม ทั้งสถานประกอบกิจการที่ยังไม่พบผู้ติดเชื้อและพบผู้ติดเชื้อยืนยันแล้ว ตามมาตรการ Bubble and Seal โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
-เพื่อป้องกันโรค ภายใต้หลักการคือ “จัดกลุ่ม คุมไว ลดการแพร่กระจาย รายได้ไม่สูญเสีย” ด้วยการคัดแยกพนักงานออกเป็นกลุ่ม ให้ทำงานและทำกิจกรรมร่วมกันภายใต้เงื่อนไขตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อควบคุมโรค ไม่ให้ระบาดไปยังชุมชน
-เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ลดการเสียชีวิต
ด้าน นพ.อภิชาต วชิรพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบายว่า มาตรการนี้เหมาะสำหรับกลุ่มคนที่แข็งแรง สามารถอยู่เป็นกลุ่มในพื้นที่จำกัด ใช้หลักการสำคัญคือ
-นำผู้ติดเชื้อไปรักษาที่โรงพยาบาลสนาม
-เฝ้าระวังคนที่มีอาการ
-ส่วนพนักงานที่ไม่ติดเชื้อ ก็ยังสามารถทำงานต่อไป เอื้อประโยชน์ให้ทุกฝ่าย คือ สถานประกอบกิจการดำเนินการได้ แรงงานได้เงิน ได้ค่าจ้าง ไม่หนีไปแพร่โรค