สธ.จัดส่งไฟเซอร์ให้บุคลากรทางการแพทย์ล็อตแรกทุกจังหวัด พร้อมเตรียมจัดส่งเพิ่มให้แก่ผู้ที่ต้องการ

08 สิงหาคม 2564, 19:53น.


          กระทรวงสาธารณสุข จัดส่งวัคซีนไฟเซอร์ล็อตแรกให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ร้อยละ 50-75 ตามข้อมูลสำรวจจากแต่ละโรงพยาบาล พร้อมให้สำรวจความต้องการอีกครั้ง เนื่องจาก บางโรงพยาบาลมีบุคลากรจบใหม่ หรือได้รับมอบหมายมาทำงานเพิ่มขึ้น เพื่อเตรียมจัดส่งเพิ่มเติมในสัปดาห์หน้า



          นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ในการกระจายวัคซีนไฟเซอร์ 1,500,000 โดส ซึ่งเป็นของบุคลากรทางการแพทย์ 700,000 โดส เริ่มทยอยจัดส่งตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2564 ไปยังโรงพยาบาลใหญ่ 170 แห่งใน 77 จังหวัดและเริ่มฉีดตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม เร็วกว่ากำหนดที่วางไว้ 5 วัน ขณะนี้ฉีดแล้ว 57,000 โดส จากการติดตามอาการไม่พึงประสงค์ พบอาการปวด บวม ร้อน และไข้เล็กน้อย ไม่มีอาการรุนแรง



          ทั้งนี้ โรงพยาบาลใหญ่มีศักยภาพในการเก็บรักษา ควบคุมอุณหภูมิและติดตามการฉีดวัคซีนได้ง่ายกว่ากระจายไปจุดย่อย เนื่องจากเมื่อเก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส วัคซีนจะมีอายุ 31 วัน จึงต้องเร่งฉีดให้หมด โดยวัคซีน 1 ขวดฉีดได้ 6 โดส หากกระจายไปหลายจุดเมื่อเปิดใช้ 1 ขวดอาจไม่ถึง 6 คน



          โดยในการสำรวจความต้องการวัคซีน พบว่า บุคลากรทางการแพทย์บางส่วนฉีดบูสเตอร์โดสด้วยแอสตร้าเซนเนก้าแล้วมากกว่าร้อยละ 20 และมีความต้องการฉีดไฟเซอร์ประมาณร้อยละ 70 



          และพบว่ามีบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้ารายใหม่ที่ยังไม่เคยฉีดวัคซีน เช่น ผู้ที่จบใหม่ หรือบุคลากรด่านหลังที่ได้รับมอบหมายมาทำงานด่านหน้า ซึ่งสามารถแจ้งมาได้ที่กรมควบคุมโรค เพื่อจัดส่งวัคซีนเพิ่มเติมล็อตถัดไปในสัปดาห์หน้า ยืนยันว่าจะจัดส่งครบจำนวนบุคลากรด่านหน้าตามการสำรวจเพิ่มอย่างแน่นอน



          ส่วนกลุ่มเสี่ยงที่เป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้น ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรังอายุ 12 ปีขึ้นไป และหญิงตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไปในพื้นที่ 13 จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด จำนวน 645,000 โดส รวมถึงชาวต่างชาติกลุ่มเสี่ยงและนักเรียนไทยเดินทางไปต่างประเทศ 150,000 โดส จะทยอยส่งวัคซีนไปยังโรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคมนี้ โดยจะฉีดในคนที่ยังไม่เคยได้วัคซีนโควิดตัวอื่นมาก่อนมีการติดตามอาการหลังฉีด 30 นาที 1 วัน 7 วัน และ 30 วัน



          กลุ่มเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปที่มีโรคเรื้อรังแพทย์ที่รักษาจะประเมินว่าพร้อมรับวัคซีนหรือไม่ และจะติดตามอาการหลังฉีด โดยรายงานผ่านระบบหมอพร้อม ซึ่งเด็กวัยนี้ใช้แอปพลิเคชันได้ หรือให้ผู้ปกครองช่วยรายงาน หลังฉีดวัคซีนหากมีอาการเจ็บหน้าอก ใจสั่นหายใจไม่สะดวก สงสัยอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ให้รีบมาพบแพทย์ที่โรงพยาบาล โดยมีรายงานจากสหรัฐอเมริกาที่ประชาชนฉีดวัคซีน mRNA เป็นหลักมีโอกาสพบอาการได้ประมาณ 4 รายต่อล้านเข็ม โดยเฉพาะผู้ที่อายุน้อยกว่า 30 ปี และเพศชาย ยังไม่พบรายงานผู้เสียชีวิต ส่วนในประเทศไทยยังไม่พบอาการเหล่านี้หลังการฉีดวัคซีน



          สำหรับเดือนสิงหาคมนี้ จะมีวัคซีนโควิด 10 ล้านโดส ที่จะทยอยส่งสัปดาห์ละ 2 ล้านโดส โดยจะส่งไปต่างจังหวัดกว่าร้อยละ 80 จำนวนนี้ครึ่งหนึ่งจะส่งไปยัง 29 จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ซึ่งมีการระบาดเกิดขึ้นอยู่ โดยเน้นฉีดกลุ่ม 608 คือ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรค และหญิงตั้งครรภ์ โดยให้ฉีดเร็วที่สุดเพื่อให้ครอบคลุมร้อยละ 70



          อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการ ป้องกันตนเองสวมหน้ากาก ล้างมือเว้นระยะห่าง หากต้องไปสถานที่คนจำนวนมากอาจใส่หน้ากากสองชั้น อยู่ในบ้านก็ต้องระวังผู้สูงอายุติดเชื้อจากลูกหลานที่ออกไปนอกบ้าน ดังนั้น จึงควรออกนอกบ้านให้น้อยที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงไปรับเชื้อนอกบ้านแล้วนำมาติดสมาชิกในครัวเรือน และให้พาผู้สูงอายุไปฉีดวัคซีนตามนัดหมายของโรงพยาบาล



...



 



 

ข่าวทั้งหมด

X