นายสเตฟาน บันเซล ซีอีโอของบริษัทโมเดอร์นา ผู้ผลิตวัคซีนของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า วัคซีนโมเดอร์นามีประสิทธิภาพสูงร้อยละ 93 หกเดือนหลังฉีดวัคซีนเข็มที่สอง แทบจะไม่แตกต่างจากประสิทธิภาพตามรายงานผลทดลองทางคลินิกเดิมในเฟสที่ 3 หรือการทดลองในเฟสสุดท้ายคือ ร้อยละ 94 แต่ยอมรับว่าเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาเป็นปัญหาใหม่ที่อาจจะกระทบต่อประสิทธิภาพวัคซีน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจะต้องเฝ้าระวังต่อไป
รายงานเรื่องความทนทานของประสิทธิภาพวัคซีน นับว่า มีผลในเชิงบวกสำหรับโมเดอร์นา เมื่อเปรียบเทียบกับวัคซีนจากไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค ผู้ผลิตวัคซีนจากสหรัฐฯ-เยอรมนี ซึ่งระบุเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนไฟเซอร์ลดลงในอัตราร้อยละ 6 ทุกๆสองเดือน กล่าวคือประสิทธิภาพวัคซีนลดจากเดิมร้อยละ 96 มาอยู่ที่ร้อยละ 84 หกเดือนหลังการฉีดวัคซีนเข็มที่สอง
ทั้งนี้ ทั้งวัคซีนจากโมเดอร์นาและวัคซีนจากไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทคใช้เทคโนโลยี mRNA เหมือนกัน แต่ในแง่ของการผลิต โมเดอร์นายังผลิตวัคซีนได้น้อยกว่าไฟเซอร์ โดยโมเดอร์นาตั้งเป้าผลิตวัคซีนระหว่าง 800 ล้านถึง 1,000 ล้านโดสในปีนี้ ขณะที่ไฟเซอร์ตั้งเป้าผลิต 3,000 ล้านโดสในปีนี้
สำหรับเรื่องการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ซึ่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วโลกอยู่ระหว่างถกเถียงในขณะนี้ว่ามีความจำเป็นหรือไม่ นายบันเซล มองเรื่องนี้ว่าการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ก่อนฤดูหนาวปลายปีนี้ มีความจำเป็น ถ้าระดับภูมิคุ้มกันในร่างกายหลังฉีดวัคซีนลดลงโดยต่อเนื่องเช่นนี้
ขณะเดียวกัน บริษัทไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทคอยู่ระหว่างเสนอให้หน่วยงานกำกับดูแลกฏระเบียบของสหรัฐฯอนุมัติข้อเสนอการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ปลายเดือนนี้เช่นกัน แต่บางประเทศเช่น อิสราเอล เริ่มฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 แล้วสำหรับผู้ป่วยบางกลุ่มเช่น ผู้สูงอายุและคนที่มีโรคประจำตัว
Cr: reuters, the globe and mail