เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ย้ำ 'ยาน้ำฟาวิพิราเวียร์' ต้องให้แพทย์สั่ง

05 สิงหาคม 2564, 16:59น.


          การพัฒนาและคิดค้นสูตร“ตำรับยาน้ำเชื่อมฟาวิพิราเวียร์” สำหรับผลิตในโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ (Hospital preparation) ต้านเชื้อไวรัสสำหรับเด็ก และผู้ป่วยที่มีความลำบากในการกลืนยาเม็ด ตำรับแรกในประเทศไทย ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์  กล่าวว่า ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี องค์ประธานของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ทรงเป็นห่วงและติดตามสถานการณ์มาตลอด และทรงเป็นห่วงประชาชน โดยเฉพาะเด็กเล็กๆ เมื่อป่วยจะใช้ยาก็ลำบาก จึงมีการพูดคุยหารือกันระหว่างจุฬาภรณ์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัท เมดิกา อินโนวา จำกัด เพื่อผลิตยาในโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ (Hospital preparation) ซึ่งยาตัวนี้ทางเภสัชฯ สามารถทำเป็นยาน้ำได้ และเหมาะกับเด็กที่ไม่สามารถกลืนยาเม็ด แต่การจะทำยาตัวนี้ให้ได้ผล เราได้คำนึงถึงประสิทธิภาพ ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยการทำไปทั้งหมดก็เพื่อช่วยเด็ก หรือผู้ใหญ่ที่ไม่สามารถกลืนได้ ก็จะได้รับยาอย่างรวดเร็ว



          สิ่งสำคัญยาน้ำตัวนี้ต้องเป็นแพทย์สั่งเท่านั้น เพราะต้องติดตามอาการข้างเคียง ต้องติดตามทั้งผลดี ผลข้างเคียงได้อย่างเป็นระบบ ดังนั้น หากมีแพทย์สั่ง ทางราชวิทยาลัยฯสามารถจัดส่งได้ โดยหากตรวจโควิดเบื้องต้นแล้วบวก ก็ต้องให้ยาเร็ว แต่เราจะมีการกำหนดช่วงเวลาในการขอ และจะจัดยาให้ตามช่วงเวลา ทั้งนี้ หากใครจะนำตำรับยาเราไปผลิต รพ.ที่อื่นๆ โดยราชวิทยาลัยไปช่วยควบคุมมาตรฐาน ทางเราก็ยินดี เพราะสถานการณ์ระบาดรุนแรงจึงจำเป็นต้องช่วยกัน แต่การผลิตต้องมีขั้นตอนตามมาตรฐานด้วย และยาตัวนี้เมื่อให้ไปแล้ว ต้องรับประทานให้หมดภายใน 30 วัน จึงไม่สามารถเก็บได้นาน แต่ขณะนี้ทางเภสัชฯ ก็จะมีการวิเคราะห์และเก็บข้อมูลต่อไป



          พญ.ศรัยอร ธงอินเนตร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ กล่าวว่า การใช้ยาต้านไวรัส เป็นหัวใจสำคัญในการลดความรุนแรงของโรค โดยยาฟาวิพิราเวียร์ มีการเริ่มใช้ในญี่ปุ่น กรณีใช้ในโรคไข้หวัดใหญ่ อย่างไรก็ตาม การรักษาโรคโควิดจะใช้ในขนาดที่มากพอสมควร โดยวันแรก 70 มก./กก./วัน วันต่อมาใช้ 35 มก./กก./วัน แบ่งรับประทานวันละ 2 ครั้ง ดังนั้น หากเด็ก 10 กก.จะต้องทานถึง 1 เม็ดกับอีก 3 ส่วน 4 เม็ด แต่หากใช้เป็นยาน้ำจะป้อนเด็กได้ง่ายขึ้น โดยวันแรกจะใช้ 27 cc ต่อครั้ง วันละ 2 ครั้ง และวันต่อมาจะใช้ 12 cc หรือ 3 ส่วน 4 เม็ด



          พญ.ครองขวัญ เนียมสอน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์ กล่าวว่า จากการระบาดที่ผ่านมามีเคสเด็กติดเชื้อทางเดินหายใจมากขึ้น โดยเฉพาะเดือน ก.ค. ยอดขึ้นไป 2-3 เท่า นอกจากนี้ ยังพบว่าด้วยสายพันธุ์ที่มีการกลายพันธุ์ เคสเด็กมีอัตราการเกิดโควิดติดเชื้อ หรือเชื้อลงปอดเพิ่มมากขึ้น จากเด็กมีการติดเชื้อ 50% เพิ่มเป็น 80-90% เมื่อมีการติดตามการรักษา แต่ยังสบายใจตรงที่อาการเด็กเบากว่าผู้ใหญ่ โดยเด็กปอดติดเชื้อยังไม่ต้องการออกซิเจนมากเท่าไหร่ ยังคงออกซิเจนในเลือดได้เกิน 95-96%เป็นส่วนใหญ่



          “ขณะนี้มีการทดลองใช้จริงในคนไข้เด็ก และมีการสังเกตอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเปรียบเทียบกับยาบดละลายน้ำ โดยเราให้เด็กช่วงอายุ 8 เดือน -5 ปี จำนวน 12 ราย โดยพบว่าตอบสนองต่อการรักษาได้ดี และไม่พบผลข้างเคียงร้ายแรง มีเพียงเด็ก 8 เดือนที่อาจมีการแหวะยาในช่วงแรก แต่ปริมาณน้อย คือ 1 cc นอกนั้นสามารถรับยาได้หมด”



          สำหรับอาการโควิดในเด็ก อาการทั่วไป มีไข้ หรือออกผื่น ซึ่งอาจขึ้นใบหน้า หรือลำตัว อาจมีอาการนอกเหนือจากนี้ เช่น ทางเดินอาหาร เบื่ออาหารคล้ายเด็กเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ มีอาการถ่ายเหลวได้ อาการนี้อาจนำมาร่วมกับการสัมผัสผู้ป่วย ดังนั้น หากเด็กมีอาการก็อย่านิ่งนอนใจ อาจเป็นโควิดได้ ซึ่งเด็ก 1 คนอาจมีอาการเหล่านี้ได้ภายใน 1-3 วัน จึงอาจต้องมีการตรวจ ส่วนอาการอาจอยู่นานประมาณ 1-2 สัปดาห์ในเด็กไม่มีโรคประจำตัว หากได้รับยานี้ เบื้องต้นแนะนำให้ยาเป็นเวลา 5 วัน โดยวันแรก หรือยา 2 มื้อแรก ต้องรับยาค่อนข้างมากมากตามที่กำหนด คือ 4 เท่าของปริมาณปกติ เพื่อให้ระดับยาในเลือดสูงขึ้นเพียงพอต่อการแข็งตัวของไวรัส จากนั้นให้เป็นไปตามข้อกำหนด และต้องติดตามใน 4 วัน และต่อเนื่อง



          สำหรับ การขอยารับยาได้ในวันที่ 6 ส.ค.นี้ ผ่านเว็บไซต์ https://favipiravir.cra.ac.th โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เนื่องจากได้รับการสนับสนุนมูลนิธิภัทรมหาราชานุสรณ์ ในพระอุปถัมภ์ ทั้งนี้ โดยสถานพยาบาลอื่นๆหรือแพทย์สามารถขอมาทางราชวิทยาลัยได้ แต่ระยะแรกสามารถผลิตยาได้ไม่มากประมาณ 100 รายต่อสัปดาห์ หรือ 20 รายต่อวัน และจะได้ยาภายใน 1 วัน หลังจากลงทะเบียนกรอกข้อมูลเรียบร้อย และจะจัดยาไม่เกินเวลา 20.00 น.ของทุกวัน ซึ่งค่าใช้จ่ายในการจัดส่งอาจต้องรับผิดชอบเอง หรือประสานผู้ร่วมมือจัดส่งให้



CR:ศูนย์ข้อมูลราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์



https://www.facebook.com/chulabhornhospital/videos/351710383163568

ข่าวทั้งหมด

X