ทันสถานการณ์โลกเวลา 06.30 น.วันพุธที่ 4 สิงหาคม 2564

04 สิงหาคม 2564, 05:39น.


กราดยิงด้านหน้ากระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เสียชีวิต-บาดเจ็บ



          เกิดเหตุกราดยิงที่บริเวณป้ายหยุดรถใกล้กับทางเข้ากระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ เมื่อช่วงเช้าวันอังคาร (3 ส.ค.64) ตามเวลาท้องถิ่น ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายคน และเจ้าหน้าที่ต้องปิดทางเข้ากระทรวงกลาโหม ประมาณ 1 ชั่วโมงในระหว่างตรวจสอบสถานการณ์ โดยในประกาศของกระทรวง ระบุว่า มีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ศูนย์การขนส่งกระทรวงกลาโหม ขอให้ประชาชนโปรดหลีกเลี่ยงพื้นที่



          ด้านสำนักงานดับเพลิงของอาร์ลิงตันเคาน์ตี้ รายงานว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายคน แต่ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดอื่น และเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นห่างจากอาคารกระทรวงกลาโหมเพียงไม่กี่ก้าว



          สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 1 ราย ขณะที่มือปืนถูกวิสามัญฆาตกรรมในที่เกิดเหตุ



ระเบิดถล่มเขตกรีนโซน ในกรุงคาบูล อัฟกานิสถาน พุ่งเป้าบ้านพักรักษาการรมว.กลาโหม



          นายมีวาร์อิส สตาเนคไซ โฆษกกระทรวงมหาดไทยอัฟกานิสถาน แถลงว่า เกิดเหตุโจมตีด้วยระเบิดอย่างรุนแรงในย่านเชอร์ปุร์ ย่านที่อยู่อาศัยในเขตรักษาความปลอดภัยแน่นหนาที่เรียกกันว่ากรีนโซนของกรุงคาบูล เมืองหลวงของอัฟกานิสถาน



          ดูเหมือนว่าเป้าหมายจะเป็นบ้านพักของนายบิสมิลลาห์ ข่าน โมฮัมมาดี รักษาการรัฐมนตรีกลาโหมของอัฟกานิสถาน



          พรรคการเมืองจาเมียต-อี-อิสลามี ของนายโมฮัมมาดี แถลงว่า รักษาการรัฐมนตรีกับครอบครัวปลอดภัย เพราะอพยพไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยแล้ว มีการปิดถนนทุกสายที่มุ่งหน้ามาที่บ้านพักของรักษาการรัฐมนตรี



          นอกจากนั้น ยังมีเสียงระเบิดขนาดเล็กดังขึ้นมาอีกหลายครั้งและเสียงอาวุธปืนยิงต่อสู้กัน แต่ยังไม่ทราบว่าผู้บาดเจ็บมาจากเหตุระเบิดหรือการยิงต่อสู้กัน



          ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาประกาศอ้างความรับผิดชอบเหตุโจมตีดังกล่าว แต่เกิดขึ้นขณะที่กลุ่มหัวรุนแรงตอลิบานได้รุกคืบโจมตีเมืองสำคัญทางใต้และตะวันตกของประเทศ



          เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง สามารถสังหารคนร้ายได้ 3 คน และตำรวจได้ปฏิบัติการกวาดล้างเพื่อเคลียร์พื้นที่แล้ว



          โฆษกกระทรวงสาธารณสุข แถลงว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บ 10 คน ส่วนประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ได้อพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัย



CR:BBC



ญี่ปุ่น เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว คนที่ฝ่ากฎการกักตัว พร้อมสำรองเตียงให้คนป่วยหนัก



          รัฐบาลญี่ปุ่น กำลังเผชิญความท้าทายจากเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่ระบาดรวดเร็ว ปัญหาการกระจายวัคซีนที่ยังล่าช้า รวมถึงเรื่องที่คนวัยหนุ่มสาวเริ่มเบื่อหน่ายกับข้อจำกัดทางสังคมต่างๆ ออกมาเที่ยวนอกบ้านมากขึ้น ทำให้หลายเมืองสำคัญต้องขยายมาตรการล็อกดาวน์ ประกาศขยายภาวะฉุกเฉิน  รวม 3 จังหวัดใกล้กรุงโตเกียวและนครโอซากาด้วย รวมถึงเกาะโอกินาวาทางตอนใต้ ภาวะฉุกเฉินดังกล่าวจะมีผลไปจนถึงสิ้นเดือนนี้



          ส่วนคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศทุกคนทั้งคนญี่ปุ่นและคนต่างชาติต้องกักตัวที่บ้านเป็นระยะเวลา 14 วัน  และต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ลงในสมาร์ทโฟนเพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามตัวและส่งรายงานสุขภาพ



         ล่าสุด กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่น แถลงว่า พบชาวญี่ปุ่น 3 คน ที่เพิ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศมีพฤติกรรมที่บ่งบอกว่าจงใจหลบเลี่ยงการติดต่อกับทางการ ทางการจึงใช้วิธีประจานรายชื่อบุคคลเป็นครั้งแรก และเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เช่น อาชีพและสถานที่อยู่  ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์พอสมควรว่าไม่เหมาะสม  



          ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ในญี่ปุ่น ยังคงพุ่งสูงขึ้นทำสถิติมากกว่าวันละ 10,000 คน นายคัตสึโนบุ คาโตะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ระบุว่า สะท้อนให้เห็นว่าธรรมชาติของการติดเชื้อเปลี่ยนแปลงไป ผู้ติดเชื้อหลักกลายมาเป็นกลุ่มคนอายุน้อย แทนที่จะเป็นกลุ่มคนเปราะบางอย่างผู้สูงอายุ แม้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะประกาศภาวะฉุกเฉินในพื้นที่กรุงโตเกียวและพื้นที่ข้างเคียง แต่ก็ไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ



          นายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ สึกะ ของญี่ปุ่น ประกาศหลังประชุมคณะทำงานว่า ญี่ปุ่นจะเก็บเตียงไว้ให้กับผู้ป่วยหนักที่จำเป็นและกลุ่มเสี่ยงที่จะป่วยหนักเท่านั้น ในส่วนของผู้ป่วยอื่นๆ จะขอให้อยู่ที่บ้าน แต่รัฐบาลรับประกันว่าพวกเขาจะสามารถเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลได้หากอาการแย่ลง



ปรับ 5 แสนบาท ! แคนาดา ปรับ 2 ผู้โดยสารจากสหรัฐฯ ยื่นบัตรฉีดวัคซีนปลอม



          โฆษกกระทรวงสาธารณสุขแคนาดา เปิดเผยว่า เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน สั่งปรับผู้โดยสาร 2 คน เดินทางจากสหรัฐฯมาที่เมืองโทรอนโต และพบว่าทั้ง 2 คน ยื่นบัตรฉีดวัคซีนและผลตรวจเชื้อโควิด-19 ปลอมต่อเจ้าหน้าที่แคนาดา และยังไม่ยอมเข้าพักในสถานที่พักที่รัฐจัดหาไว้ให้ตามกฎระเบียบข้อบังคับของประเทศอีกด้วย

         เหตุการณ์นี้เป็นคดีนักเดินทางใช้เอกสารรับรองการฉีดวัคซีนปลอมเดินทางเข้าแคนาดาเป็นคดีแรกของประเทศ ทั้ง 2 คนถูกปรับเงินคนละเกือบ 20,000 ดอลลาร์แคนาดา หรือประมาณ 16,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ คนละ 500,000 บาท



          โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ปฏิเสธที่จะเปิดเผยชื่อหรือรายละเอียดของทั้ง 2 คน และไม่ได้ให้ข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่รู้ได้อย่างไรว่าเป็นเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนปลอม แต่ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนมี.ค.64 สำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) เตือนให้ระมัดระวังเรื่องบัตรรับรองวัคซีนปลอม



 



 



 



 



 



 



 

ข่าวทั้งหมด

X